ช่วงเวลาว่างงานอีกช่วงของปีนี้
ได้ทีขุดกรุหนังซีรีส์ขึ้นมาดูเป็นการใหญ่
ได้พบความเพลิดเพลิน ไม่ใช่เพียงการดูเรื่องราวจากหนังเท่านั้น
แต่มีความสนุกสนานในการค้นพบ “วิธีคิด”
ของคนอื่น และ ตัวเอง ด้วย
*
เป็นความบังเอิญ แบบไม่บังเอิญ
จากการสั่งหนังบนนิสัยส่วนตัวที่ชอบกินเหลือใจ
ทำให้เราได้หนังชนแก่นเรื่องกันจาก 2 ประเทศอภิมหาอำนาจทางซีรีส์
ญี่ปุ่นและเกาหลี
*
ด้วยเรื่องราวของมือใหม่อยากเป็นเชฟอาหารอิตาเลี่ยน โดยเฉพาะ pasta
ทำให้เกิดเนื้อหาให้ติดตามแตกต่างกันไป
ญี่ปุ่นส่ง Matsumoto Jun ลงมาในนาม
BAMBINO (2007)
ทางเกาหลีไม่ถอย ส่ง Lee Seon Gyun แห่ง coffee prince ท้าสู้ในชื่อ
Pasta in Love (2010)
*
เหมือนให้โจทย์เด็กไปทำการบ้าน
ที่โจทย์เดียวกัน อาจจะมี วิธีทำ และ ผลลัพธ์ต่างกัน
… สนุกตรงนี้แหล่ะ
สนุกตรงที่นั่งมองวิธีการเล่าเรื่องเดียวกันจาก 2 วัฒนธรรม
*
ทางญี่ปุ่นเน้นความอึดในการต่อสู่กับตัวเอง
ความคาดหวัง ความฝัน ความทะเยอทะยาน
มันประมือกับ
ความจริง อุปสรรค ประสบการณ์… เสมอ
ด้วยนิสัยพื้นฐานที่ต้องเป็นคนเก่ง โดดเด่น และ ประสบความสำเร็จ
หนังของญี่ปุ่นก็เลยส่งแรงกดดันนั้นผ่านฟิล์มออกมาด้วย
…
ยังเสมือนการดูเคนโด้ จุงโคชิกะ โอชิน หรือ change
ที่ตัวเอกของเรื่องต้อง “ชนะ” ความคิดฝั่งพ่ายแพ้ของตัวเองให้ได้
การยึดมั่นที่เป้าหมายและล้มลุกคลุกคลานเพื่อให้ไปถึง
ยังคงเป็นเสน่ห์ฝั่งวาซาบิ
แบบเผ็ดจี๊ดขึ้นสมอง เปิดประสาทและแรงบันดาลใจให้เรา
ในยามที่ต้องการตกตระกอนระดับความคิด
พี่ยุ่นออกจะขาโหดซะหน่อยในการยอมทิ้งรสหวานของความรักได้
ยามเมื่อต้องการความสะใจของการค้นพบตัวเอง
จึงพบว่าการแสดงสีหน้า ท่าทาง และดวงตาของทางนี้เขาจะเข้าขั้นเทพเลยทีเดียว
*
ฝั่งเกาหลีนั้นออกจากละมุนและตกแต่งมากกว่า
อาจจะเพราะเหตุผลทางการตลาด (บางทีมากเกิ้น)
เส้นเรื่องจึงยึดโยงอยู่บนความรักหนุ่มสาวเสมอ
และก็ต้องบอกว่าเรื่องคำในบทพูดนั้น ถูกจัดแต่งให้มาทำงานอย่างลงล๊อคกว่าพี่ยุ่น
ให้เศร้า ให้คิด ให้ซึ้ง ให้รัก ให้เกลียด
มันสะกดได้ จำได้ทุกวลี ตามแนวทางฮอลีวู้ดไงงั้นเชียว
ประมาณว่าสามารถเขียน quotation จากหนังให้กลายเป็น
หนังสือบทประพันธ์สวยงามได้ทันที
เรียกว่าเป็นความเพลิดเพลินชงสำเร็จรูปเลยก็ว่าได้
รวดเร็ว ว่องไว อร่อย และ เคี้ยวง่าย
..
หนังเกาหลีจึงมักจะขายได้ในตลาดกว้าง
เนื่องจากมีความเป็นนักสู้ที่แฝงความอ่อนโยนของเอเชีย
(ซึ่งจริงๆ ก็ต้องบอกว่าญี่ปุ่นเป็นแม่แบบของเขา)
แล้วนำมาผสมกับศาสตร์และการตลาดของภาพยนตร์
ตามแนวสำเร็จของฮอลลีู้วู้ด…ได้อย่างลงตัว
ก็เหมือน Autumn in my heart, Full house, แดจังกึม หรือ coffee prince
*
ดังนั้น 2 เรื่องนี้ แม้จะมีแกนเรื่องที่เด็กใหม่ในห้องครัวเหมือนกัน
การเติบโตของเรื่องจึงแตกต่างกัน
ความลุ่มลึก และ เรียกร้องความสนใจ วางกันคนละเส้น
ไม่เชื่อลองดูง่ายๆ จากแค่ประโยคเด็ดจากทั้ง 2 เรื่อง
โดยออกจากปากคำเชฟรุ่นใหญ่ที่กำลังให้แรงบันดาลใจ
ต่อเชฟเด็กหน้าใหม่ ไปพร้อมๆ กับคนดู
จี๊ดเหมือนกัน แต่รสเผ็ดซ่านไม่เหมือนกัน
*
Bambino
” ผู้ชายหน่ะนะ ไม่ใช่เกิดมาก็เป็น ..ลูกผู้ชาย ทุกคนหรอก
มันต้องรู้จักใช้สมรรถนะตัวเองให้เป็นก่อน
ทรมานจะตาย… กับการไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมวิ่งหนี ไม่อยากล้มเหลวเนี้ย
แต่คนที่ไม่เคยมีความรู้สึกพวกนี้เลย
ชีวิตก็จะไม่เป็นอะไรเลย”
*
Pasta in Love
“คุณไม่รู้สึกปลาบปลื้มกับคำวิจารณ์เหล่านั้นหรอกเหรอ?
ทั้งๆ ที่คำร้ายๆ เหล่านั้น จะเป็นวิธีการที่ทำให้เราค้นพบ 1% ที่เราขาดไป
คุณไม่มีความทะเยอทะยานที่จะทำให้มันดีสมบูรณ์แบบหรือไง?”
*
เอาเป็นว่าใครมีเวลาว่างเหมือนเรา
ลองท้าประลองสองชาตินี้ในสนามสมองของคุณเองดูแล้วกัน
จะพบว่ามันเป็นแมทช์ที่สนุกสนานและสูสีกัน
จนตัดสินใจไม่ถูกทีเดียวเชียวว่าจะ กิมจิ หรือ วาซาบิดี
ว่าแล้วทำให้อยากกิน pasta ขึ้นมาจับใจเลยหล่ะ
*
แต่ใครอย่าเผลอพูดถึงละครไทยในรูปธรรมที่คล้ายกันเชียว
เดี๋ยวอาหารจะเสียรสกันพอดี 5 5 5
ใส่ความเห็น