วันนี้เพิ่งได้มีโอกาสชิลล์นั่งดูตอนจบของ HERO 2014
ซึ่งถือเป็นซีรีส์ภาค 2 ที่ห่างจากภาคแรกถึง 13 ปี
…
ถ้าไม่นับว่าเป็นการเปลี่ยนปี (จาก 2001 เป็น 2014)
และเป็น คุริวที่เปลี่ยนฤดูจาก ใบไม้ร่วงเป็นร้อน
จากแจ๊กเก็ตนวมหนา มาเป็นเสื้อฮาวายลายดอก
สก๊อตจิ๊กโก๋ และเสื้อยืดลายทางแล้ว
ความสนุกของซีรีส์เรื่องนี้ยังคงเดิม
ก็เป็นความคุนเคยเดิมๆ กับคนหน้าเดิม บนความสนุกเยี่ยงเดิม
ตามแบบฉบับหนังสืบสวนญี่ปุ่น เกล็ดเล็ก ปมผุยผง
ที่สามารถกลายเป็นเรื่องมหาศาล
ความชาญฉลาดของพระเอก ที่หงุบหงิบยิ้มมุมปากยังทรงเสน่ห์อยู่
ความกระชับเรื่อง แต่นวยนาดสายตาอารมณ์ ยังมีแรงดึงดูด
แต่คราวนี้ฉากอัยการขึ้นศาลในตอนสุดท้าย
มันทำงานกับฉันเหลือเกิน
…
จะว่ากันด้วยความสามารถของทาคุยะ คิมูระนั้น ไม่ต้องพุดถึง
บทพูดกินใจขนาดยาวๆๆๆๆๆๆๆๆ โดยเฉพาะ one cutนั้น
ทาคุยะพิสูจน์ให้เห็นถึงความฉกาจฉกรรจ์แล้วอย่างสุดติ่ง
ในฉากแถลงการณ์ลาออกของท่านนายกรัฐมนตรีใน CHANGE
มาคราวนี้…
กับบทอัยการที่ขยี้ใจจนพยานยอมอ่อนคล้อยคลายปมที่อมไว้
ซึ่ง…
อ่านดูแล้ว เราคงพบเห็นได้ทั่วไปตามซีรีส์กฏหมายฉบับมาตรฐาน
สินะ
….
แต่ว่าทำไมเราถึงจี๊ดดดดด
*
ถ้าคนทำผิด สารภาพผิด พูดความจริง
ศาลนี้ก็คงไม่มีความหมายอะไร
*
ผมเองก็พูดแต่คำว่า
“ผมขอค้าน…”
“ความจริง คือ…”
แต่รู้ไหมครับว่า ใครที่กำความจริงไว้
…ผู้กระทำผิดไงครับ!!
*
ตลกนะครับ
ที่พวกเราทะเลาะกันทั้งหมดนี้
ก็เพราะแค่มีใครคนใดคนหนึ่ง
พูดโกหก!!!
*
และแล้วเราจึงต้องใช้ใจของเรา
ที่อยู่บน “หลักความยุติธรรม”
มาตัดสินใจว่า ใครถูก ใครผิด
*
ผมพูดคำว่า “ความยุติธรรม” ไปนะครับ
แต่ว่า…
ความยุติธรรมที่ว่านั้น ไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียว
ผมเป็นอัยการ พยายามหาตัวผู้ร้ายมาขึ้นศาล
…ก็เป็นความยุติธรรม
ทนาย ปกป้องดูแลลูกความของเขา
…ก็เป็นความยุติธรรม
ลูกขุนและศาลมานั่งฟังอัยการและทนายเถียงกัน
…ก็เพื่อค้นหาความยุติธรรม
เรากำลังใช้ “ความยุติธรรม” ที่พวกเราแต่ละฝ่ายยึดถือ
(ซึ่งอาจจะคนละอัน)
มาค้นหาความจริง
มันคือที่นี่ครับ
..ศาล
*
บทที่ดีและโดนใจผู้ชม
มันมักจะเป็นความจริงของโลก
ที่อาจไม่เคยถูกซอกซอนให้ใครเห็น
หรือไม่ก็ มาถูกที่ ถูกเวลา ซะเหลือเกิน
ไม่ใช่บทที่ใช้คำเลี่ยนจากวรรณกรรม ที่พอพูดออกปากแล้วขนลุก
คนเล่นกัดลิ้นตาย คนดูกดรีโมทหนี เพราะเขินอายคำ
*
จึงสมควรแก่การสิโรราบแก่
ซีรีส์ญี่ปุ่นทั้งปวงด้วยประการฉะนี้
*
ที่สำคัญของวันนี้
ซึ่งที่ได้มาจากหนัง และ ไม่อยู่ในหนังก็คือ
ใดใดในอาชีพเรานั้น
มีทั้งมุมที่สวยงามและอับเฉาเคล้าติดกันเป็นเงา
คนที่บอกว่ารักในอาชีพของตัวเอง
ควรรัก ทั้งในด้านสว่าง และ ด้านมืดของมัน
*
ในศาลแห่งความสัตย์ มีการโกหกอยู่เสมอ
งานธำรงความยุติธรรม คือการแขวน BALANCE ตาชั่งใจ
ท่ามกลางความไม่ยุติธรรม
–
งานศิลปะที่สวยงาม
จึงมักเกิดจากดินแดนของอารมณ์ที่ทุกข์ระทม
งานออกแบบที่ดี
มักต้องผ่านการขายผ่านตาคนไม่เข้าใจงานออกแบบเลย
เว็บสอนแต่งหน้า จึงเต็มไปด้วยคนดู…ที่ยังไม่สวย
สถาบันส่งเสริมบุคลิกภาพ มีคนเดินเข้าออกที่ขาดแคลนความมั่นใจในตัวเอง
–
อาชีพครูถูกห้อมล้อมด้วยคนไม่ใฝ่เรียน
เราถึงยังได้พัฒนาการสอน
*
อย่างอาชีพที่ปรึกษาของฉัน
มักถูกจ้างมาด้วยคนที่มีพื้นฐานที่ไม่ยอมเชื่อใคร (ตลกไหม?)
/
แต่อยากเรียกใครสักคนมา
เพื่อออกเสียงความคิดของเขา ผ่านปากคนอื่น
อย่าว่าแต่คำปรึกษาเลย เสียงของฉันเขาก็ไม่พร้อมจะได้ยิน
ถ้ามันคือคนละคำกับใจเขา
/
วันนี้ฉันรู้สึกตระหนักว่า…
หากฉันขมขื่น ท้อถอย หมดกำลัง
ฉันก็พร้อมที่จะดูถูกตัวเองเป็น “ไอ้งั่ง” ได้ตลอดเวลา
ที่อ้าปาก ส่งเสียง ไร้ค่า กว่านกขุนทองหน้าปั้ม
/
แต่หากฉันรักในอาชีพของตัว
เชื่อมั่นในความรู้ ประสบการณ์ และความตั้งใจ
ฉันจะหาวิถีทางให้เสียงฉันผ่านทะลุเข้าไปในความคิดคนอื่นได้
/
อาจไม่ใช่การดึงใครขึ้นมา
แต่คงเป็นการไปยืนในจุดเดียวกับเขา
….เป็นเขา ด้วยตาเรา สมองเรา
ฉันแค่เผยมุมมองอื่น จากจุดเดียวกับที่เขายืน
จริงใจที่จะบอกกล่าว เปิดเผยข้อด้อย
ชัดเจนข้อเด่น พร้อมตั้งรับความผิดพลาด
และพร้อมสนับสนุนดุนหลังให้ก้าวไปข้างหน้า
โดยไม่เสแร้ง แกล้งเป็นคนฝั่งเดียว ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ
/
…ที่เหลือ
ควรให้โอกาสเขาในการตัดสินใจเลือกทางของเขาเอง
อย่างหวังดี และ ปล่อยวาง
*
ฉันรู้ว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน
แต่ความล้มเหลวต่างหากที่ฉันไม่ยอมให้เกิด…สักวัน
*
ฉันเชื่อว่าทุกคนเป็น HERO ได้
ด้วยความรัก ความเข้าใจอย่างจริงจัง ในวิชาชีพของตน
มีความสุข สว่างไสว กับ ด้านมืด และ สว่างของอาชีพนั้น
*
ขอบใจนะ คุริว
ใส่ความเห็น