ไร้วี่แววการอัพบล๊อกเสมือนว่าเลิกจิบกาแฟไปแล้ว
เปล่า…
กาแฟยังจิบอยู่ทุกวัน
แต่แรงบันดาลใจ และ แรงคันมือนั้นต่างหาก
…ที่ไม่มี
*
วันนี้มาครบทั้ง 2 อย่างเลยขอแพ้พ่ายต่อความขี้เกียจซะดีดี
*
ชีวิตคือละครจริงๆ
คราวนี้ก็ละครอีกนั่นแหล่ะที่มาสะกิดต่อมคิดในชีวิตให้อีกครั้ง
Nine: 9 Times Time Travel
(อยากลองดู คลิกที่นี่)
*
เป็นการ“พลาด” ครั้งแรกที่มาดูซีรีส์ตอนต่อตอน วันต่อวัน จากเกาหลี
เข้าใจแล้วว่าติดละครจนลงแดงมันเป็นฉะนี้นี่เอง
โดยงวดนี้สารภาพว่าติดใจใน “บท” งอมแงม
ถึงขั้นอยากเจอหน้าคนเขียนบท โดยไม่สนใจพระเอกนางเอก
อยากจับเข่านั่งคุยวิธีเขียน แบบข้ามวันข้ามคืนกันไปเลย
*
และเป็นการ “พลาด” อย่างสิ้นเชิงจากการดูหน้าหนังและใบปิด
อยากดูหนังเบาๆ กุ๊กกิ๊กๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก
คิดว่าจะดูหนังสวยๆ ถ่ายฉากที่เนปาลกรุ๊บกริ๊บๆ จึงคลิกเลือกดู
ขอแจ้งให้ทราบแบบไม่สปอยว่า
ดูใบปิดนี้แล้วรู้สึกอย่างไร?
ขอให้คิดกลับด้าน (เกือบ) ทั้งหมดสิ้น
*
รัก หรือ ฆาตกรรม
เรียบง่าย หรือ ซับซ้อน
เดินทาง หรือ ท่องเที่ยว
ชวนฝัน หรือ ชวนหลอน
จิกหมอน หรือ กัดเล็บ
คนดูสามารถดูและเห็นไปได้ตามประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ
*
ด้วยพล๊อตเรื่องที่เหมือนจะธรรมดา
คือการก้าวผ่านมิติของกาลเวลาย้อนกลับไปในอดีตได้
ด้วย “สื่อ” …ธูป 9 ดอก
มันจะน่าดูแค่ไหนเชียว
จะต่างอะไรกับแม่มณีก้าวทะลุกระจกใน “ทวิภพ”
หรือ หมอจิน วิ่งทะเล่อเข้าไปในยุคเอโดะ
*
ความต่างของหนังทะลุมิติครั้งนี้สำหรับคาปูชิโน่แก้วโตก็คือ
การลองดีเล่นบทเป็น “พระเจ้า” ของพระเอก
ซึ่งเป็นปมที่เรื่องอื่นๆ ที่ใช้พล๊อตการข้ามเวลา …ก็มี
แต่มักจะถูกผลักไปเป็นประเด็นรอง
หรือไม่ก็ กล้าๆ กลัวๆ ที่จะเปลี่ยนเรื่องในอดีต
ถึงแม้แม่มณีเองจะกล้าตัดสินใจ ณ นาทีสุดท้าย ว่าจะเปลี่ยนอดีต
ด้วยการยอมอยู่กับคุณหลวงในสมัย ร. 5
แต่อรรถรสของจากการเปลี่ยนอดีตนั้น… กลับอยู่เลยตอนจบไปแล้ว
*
การเดินทางย้อนเวลา ทั้ง 9 ครั้งของ NINE
จึงเป็นการจี้จุดที่แสนจะจริงและธรรมดาให้แสบร้อนที่สุด
เพราะถ้าเราย้อนอดีตไปได้
มีใครบ้างหล่ะ จะแค่เดินเที่ยวเล่นชมเมือง เหมือนแค่ไปเที่ยวต่างประเทศ
เชื่อว่า…
ใครๆ ก็ “คัน” อยากเปลี่ยนอะไรบางอย่างในชีวิตทั้งนั้น
นั่นจึงเป็นเหตุให้ คนคนหนึ่ง ลองดีเล่นบท “พระเจ้า”
เสน่ห์ทั้งหมดของเรื่องนี้จึงเป็น “การลุ้น” กับ
ผลของการไปลิขิตเรื่องใหม่ให้ชีวิตที่ผ่านมาแล้วนั่นเอง
*
ไม่ใช่เฉพาะพล๊อตที่แข็งแรงหรอกนะคะ ที่ทำให้การเดินทาง 9 ครั้งนี้น่าติดตาม
แต่รายละเอียดของปมที่มีอยู่ และปมถูกสร้างขึ้นใหม่ในแต่ละตอนเอง
เป็นตัวมัดผู้ชมให้ไปไหนไม่รอด
*
ด้วยลีลาการสร้างปัญหาและการแก้ปัญหา
ที่กลายไปเป็นปัญหาใหม่ๆ และ ใหญ่ขึ้นอย่างนึกไม่ถึงของการเขียนบท
ทำให้เราไม่เคยเดาตอนต่อไปถูกเกิน 20 เปอร์เซนต์เลยสักครั้ง
ถือเป็นการเสียเหลี่ยมคนดูหนังและนักเดาระดับชาติอย่างน่าไม่อาย
จนต้องทนดูอย่างซาดิสก์จนถึง 20 ตอน
*
แต่ข้อเสียของการเขียนบทแบบฉลาดและละเอียดก็คือ
คนดูจะเหนื่อยมากกกกกก
ทุกอย่างเป็นปมปัญหาได้หมดแม้แต่เรื่องเล็กเรื่องน้อย
อย่างตุ๊กตาหมี การ์ดปีใหม่ ปกแผ่นเสียง
หรือ การพูดคุยกับตัวเองในอดีต
ดูจบแต่ละตอนถึงขั้นเพลียเลยเชียวนะ
จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการผ่อนคลาย สบายใจ หรือหลับฝันดี 555
*
กระนั้นแสงสะท้อนที่ลอดออกมาจากหนังเรื่องนี้
สำหรับคาปูชิโน่แก้วโต กลับกลายเป็นอีกเรื่องนึง คือ
“ปฏิจจสมุปบาท”
วงเวียนแห่งทุกข์อันเวียนว่ายไม่จบสิ้น
*
หาก ณ จุดใด จุดหนึ่ง
จะเป็นจุดตั้งต้น ระหว่างทาง หรือแม้จุดหมายปลายทาง
ถ้าเราหยุด ทุกข์ก็หยุด ปัญหาก็หยุด
แต่เมื่อเราตัดสินใจจะไม่หยุด
แม้จะเป็นปลายทางแล้ว ก็เหมือนจะเป็นจุดตั้งต้นอีกไม่สิ้นสุด
*
แม้จะสะใจกับความฉลาดในการแก้ปมปัญหาของเรื่อง
แต่ก็เพลียกับปัญหาใหม่ที่เกิดเหมือนจะเป็นนิรันดร์
*
บทบาทที่แท้จริงของ “พระเจ้า” ที่เราควรทำความรู้จัก
คือ
การหยุด และระงับ
ไม่ใช่
การมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลง
*
พล่ามยาว เพราะ เกิดรอยแยกของความคิดมากมาย
จากหนังเกาหลีเรื่องนี้
ที่เราคงจะจำเรื่องราวได้อีกยาวนาน
*
ซึ่งเมื่อหันมาดูละครไทยยอดฮิตในเวลาเดียวกัน
“สุภาพบุรุษจุฑาเทพ”
แล้วถอนใจนิดนึง
อยากจะพาทีมเขียนบทท่องไปใน อดีตและอนาคต
พวกเขาคงตกใจ
เพราะจะย้อนกลับไป 20 ปี หรือ ล้ำหน้าไป 20ปี
บทละครไทยก็คงยังเขียนเหมือนเดิมนั่นเอง
*
หรือนี่คือ “การหยุด” วัฏสงสารในวงการบันเทิงแบบนึง
ของละครไทย
…สาธุ
มันหยดติ๋ง ที่สำคัญไม่พลาดปิดเกมด้วยการชื่นชม เอ้ย กัดจิกละครไทยได้อีกคำรบ ว่าแต่แผ่นพี่มีใครดูต่อไหมคะ เผื่อจะขโมยมาเปิดชมที่หลังเขาบ้าง 55
เดี๋ยวนี้ใครเขาดูแผ่นกัน
ดูจาก app เลย หรือไม่ก็เว็บไซต์ ซึ่งใส่ลิงค์ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
ตรงชื่อหนังสีแดงตอนต้นๆ ของบทความค่ะ
เชิญท่องเที่ยวผ่านกาลเวลาได้ตามสบายนะคะ