“ตกลงนี่….หญิงเป็นอะไรเหรอ?” ฉันส่งเสียงออกไปอย่างแผ่วเบาและเหนื่อยอ่อน
😱
ทันทีที่ได้รับการยืนยันจากพี่ชาย ผู้เป็นแพทย์อายุรกรรมทางสมองว่าเป็น “STROKE” ฉันเหมือนว่าตัวแข็งและหนักจนจมไปในเตียงเหล็กที่หน้าห้อง MRI ที่สแกนสมองนั้นเอง
มิไยที่พี่ชายจะปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเรารักษากัน แล้วทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้น เหมือนป๊ากับม้าไง” แม้ฉันจะได้ยินชัดเจน และเข้าใจดี แต่ก็เหมือนว่าเสียงนั้นจะอยู่ไกลมาก จนเหมือนเป็นเสียงที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงตรงหน้า แต่แว่วมาจากโลกอื่น บอกไม่ถูกว่ามีเรื่องอะไรเข้าหัวมาบ้าง แต่คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเป็นแน่
😵
เพราะฉันรู้สึกตัวอีกที อาการแพนิคก็แวะมาเยี่ยมอีกครั้ง ฉันได้ยินเสียงพยาบาลบอกให้หายใจช้า ช้าค่ะ ถ้าหายใจถี่กว่านี้จะเกิดอาการปากชา มือชา และมือจีบได้ …เหมือนเดิมที่ได้ยิน เข้าใจ แต่ฉันแทบจะคุมตัวเองไม่ได้ มาจับสติได้เมื่อเสียงพี่ชายสำทับเสียงหนักแน่น เพื่อกำกับการหายใจฉันว่า ช้าลงอีก ช้า ช้า เข้าาา อออก ช้าอีก เข้าาา ออออก หายใจลึกกกก เข้าาา อออออก สักครู่คุณพยาบาลก็นำถุงพลาสติกมาครอบปากจมูกไว้ เพื่อเพิ่มปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในการหายใจ จนอาการปลายมือและริมฝีปากจาก Hyperventilation Syndrome ที่เราหายใจถี่ จนค่าสารเคมีในเลือดผิดปกติไป นั้นคลายลงบ้าง
ฉันอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนฝันๆ งงๆ อยู่ 2-3 วันก่อนที่จะบอกตัวเองให้ชัดเจนว่า “ใช่ เธอเป็น STROKE ฉันกำลังอยู่ในภาวะอัมพฤกษ์ อ่อนแรงครึ่งซีก”
🥺
ประสบการณ์จากผู้เคยมีอาการซึมเศร้า ทำให้เรารู้ว่า “การยอมรับ” อาจจะเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เรา move on ได้ ไม่เสียเวลาคิดวกวน ว่า อะไร ใคร ทำไม ที่ทำให้ฟุ้งซ่านยิ่งขึ้น
😓
แต่คำถามนึงที่อาจจะเป็นประโยชน์ในการเล่าต่อก็คือ “เมื่อไหร่?” ที่ฉันพยายามเรียงเหตุการณ์ในหัวว่า ฉันเป็น stroke ตั้งแต่เมื่อไหร่ เนื่องจากโรคนี้มีเวลาเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาอย่างมาก มีข้อมูลที่เผยแพร่ให้ทราบกันว่า หากพาคนไข้หลอดเลือดสมองถึงมือแพทย์ได้ภายในเวลา270 นาที หรือประมาณ 4ชั่วโมงครึ่ง จะสามารถช่วยชีวิตคนไข้ หรือลดความเสียหายเนื้อสมองได้มา
แล้วฉันหล่ะ มาทันใน 270 นาทีหรือไม่?
ตอบแบบไม่ต้องลุ้นกันเลยว่า “ไม่ทันค่ะ” ด้วยเงื่อนไขที่กระจอกมาก คือ ฉันไม่รู้ว่าฉันมีอาการ “แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก” แล้ว แม้ฉันจะเคยดูแลผู้ป่วย stroke มาก่อน ก็ยังไม่ทราบได้เมื่อเกิดกับตัวเอง
เราอาจจะเคยเห็นข้อมูลที่เผยแพร่กันมาบ้างแล้วว่าหากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ให้รีบพบแพทย์ภายใน 4 ชั่วโมง อย่างเช่น แขนขาอ่อนแรง ใบหน้าเบี้ยว พูดไม่ชัด ปวดหัวหรือเวียนหัวอย่างรุนแรง ประเด็นคือ ฉันอยู่คนเดียว ไม่มีใครสังเกตรูปลักษณ์ภายนอก ส่วนตัวเองนั้นขอบอกว่า เกิดมาก็เคยอ่อนแรงครั้งแรกตอนนี้ อาการหลายอย่างที่เกิดขึ้นนั้น เราไม่รู้ว่าคืออะไร อีกทั้งอาการอ่อนแรงของฉันอยู่ที่ร่างกายฝั่งซ้าย ซึ่งธรรมดาเราไม่ได้ใช้ร่างกายซ้ายนำอยู่แล้ว จึงสังเกตุได้ยากกว่าเหตุการณ์เดียวกันด้านขวา
ฉันจะลองพานั่งไทม์แมชชีน ไปแอบดูตัวเอง ก่อนถึงวันที่จะได้ทำ MRI และได้รับการยืนยันว่าเป็น stroke….หลายวันเชียว
☔
9/4/2021 เป็นวันศุกร์ก่อนวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ ฉันรีบเรียกแท็กซี่จากบ้านตัวเองที่ศาลายาไปบ้านพ่อตั้งแต่ช่วงบ่ายต้น ก่อนที่การจราจรจะหนาแน่น ด้วยตั้งใจจะชวนพ่อไปทานข้าวนอกบ้านกัน แต่บังเอิญบ่ายนั้น ฝนตกหนักมาก ขนาดมีร่มกางแต่กว่าจะกระโดดขึ้นแท็กซี่ได้ ก็ตัวเปียกชื้นอยู่พอสมควร
พอถึงบ้านพ่อ เย็นนั้นกลับไม่ได้ทานข้าวข้าวนอกบ้าน เพราะรู้สึกง่วงเพลีย คิดว่ากำลังจะเป็นหวัดเพราะโดนฝน จึงขอกลับคอนโด ไปนอนพัก
🤒
10-11/4/2021 ทั้งวันเพลียง่วง อยากนอน จนต้องโทรไปบอกพี่น้องว่า ของดการกินอาหารมื้อครอบครัวในเย็นวันอาทิตย์ เพราะเกรงจะเป็นหวัด มีไข้รุมๆ ไม่อยากนำไปติดใคร ในช่วงที่โควิดระบาดคนกลัวการไอจามขนาดนี้ จึงตัดสินใจ นั่งรถกลับบ้านที่ศาลายา ในเย็นวันนั้น
😴
12/4/2021 ร่างกายและการเคลื่อนไหว ยังเหมือนปกติดี แต่รู้สึกอ่อนเพลียอยู่ เจ็บคอขึ้น อัดฟ้าทะลายโจรกับวิตามินซี เต็มอัตรา คิดแต่ว่าเป็นหวัดครั้งนี้ ไม่สนุกเลย ง่วงอยุ่ได้ตลอดเวลา ตาหนักจนแทบลืมไม่ขึ้น
🥴
13/4/2021 วันอังคารเป็นสงกรานต์ที่ฉันไม่ร่าเริงเลย ดูทุกอย่างหนืดช้าไข้ลดลงแล้ว เจ็บคออยู่บ้าง แต่ฉันก็ยังใช้ชีวิตปกติซักผ้า ตากผ้า ทำความสะอาดบ้าน ตัดหญ้า ดูแลต้นไม้ เดินเข้าเดินออกในบ้านนอกบ้านได้ เพียงแต่ในเย็นวันนั้น ที่มีคนมา กดกริ่งส่งอาหาร ฉันรู้สึกว่าเดินไปถึงประตูได้ช้ากว่าใจคิด คนส่งอาหาร(จริงๆ คือคนในหมู่บ้าน)ก็มองฉันแปลกๆ …สงสัยฉันจะเดินมาช้าจนเขาไม่พอใจมั้ง แต่พอจะเดินเข้าบ้านปรากฏว่าเท้าข้างซ้ายสะบัดรองเท้าแตะไม่หลุดเหมือนปกติ จนรองเท้าติดเท้าเข้าบ้านมาอย่างน่ารำคาญ และเป็นอย่างนี้อีกต่อเนื่องกันหลังจากวันนั้น ใจก็คิดว่า สงสัยเหงื่อออก จนรองเท้าติด ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
พอนำอาหารเข้ามาในครัว ถึงเพิ่งสังเกตว่า ผ้ากันเปื้อนครึ่งท่อนของฉันที่มีกรรกไกรตัดกิ่งไม้ถ่วงอยู่ในกระเป๋าหน้านั้น มันหลวมเลื่อนหลุดมาถึงสะโพก นี่เองงมั้งที่คนส่งอาหารมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ว่าฉันปล่อยให้ผ้ากั้นเปื้อนหลุดมาขนาดนี้โดยไม่รู้สึกได้อย่างไร ….อันนี้ไม่นับอาการเดินเหมือนซอมบี้ด้วย เขาคงตกใจมากๆ เป็นแน่
🤢
ตกเย็นตั้งใจจะเข้านอนเร็ว เพราะอ่อนเพลียจังไข้ไม่มีแล้วคงเพราะฟ้าทะลายโจร อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ความหงุดหงิดใจใหม่อีกเรื่องก็สำแดงขึ้นในห้องน้ำนั้นเ!!!!
🤨
คุณผู้อ่านเพศชายคะ ขอให้รับทราบว่าสุภาพสตรีวัยเจริญพันธุ์ทั่วไปนั้น มีความเชี่ยวชาญอันน่าทึ่งร่วมกันสิ่งหนึ่ง คือการติดหรือถอดตะขอชุดชั้นในได้ แม้จะอยู่ข้างหลังเราก็ตาม ด้วยการใช้สองแขน สองมือจับตะขอรับและเกี่ยวข้างละมือ และไพล่แขนไปข้างหลัง นำปลายตะขอทั้งสองเกี่ยวหรือถอดออกจากกันได้…ในจังหวะเดียว…โดยไม่ต้องมองเลย!!!
แต่คืนนั้น ฉันทำไม่ได้!!!
🤔
ใช้ความพยายามอยู่หลายครั้ง จนยอมแพ้ หมุนกลไกทั้งหมดมาด้านหน้า แล้วใช้ตามองก่อนจะนำมาเกี่ยวกันให้เรียบร้อยก่อนจะหมุนมันไปข้างหลังให้เข้าที่
🤗
ชุดชั้นในผิด ไม่ใช่ฉันผิด….ฉันคิดแค่นั้น แล้วก็ผ่านคืนนี้ไป
😘
14/4/2021 วันนี้เป็นวันครอบครัวนินะ ฉันสดชื่นขึ้นจากเมื่อวาน ก็เลยไม่ใส่ใจในเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้น วันนี้พ่อและครอบครัวพี่บอกว่าจะมาหา และกินข้าวร่วมกันที่บ้านฉัน
👨👩👧👦👨👩👦👨🦳
ฉันจึงเตรียมทำความสะอาดให้เรียบร้อย นำพระพุทธรูปที่อยู่บนหิ้งสูง และโกฐิกระดูกแม่ ออกมาจัดเตรียมเพื่อให้ได้สรงน้ำกัน เดินออกไปตัดดอกไม้ที่สวนมาจัด เอ๊ะ! ยังถอดรองเท้าแตะไม่ได้ แต่ความเบิกบาน ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเล็กไป ฉันผ่านครึ่งเช้าไปด้วยความสดชื่น จนแม้แต่ตอนนี้ก็จำไม่ได้ว่ามีอะไรผิดปกติ นอกจากอาการอ่อนเพลียลึกๆยังค้างอยู่
🤗
สายๆ พี่ชายไลน์มาบอกว่าจะเปลี่ยนแผนไปทานอาหารในเมืองแทน จะเข้าเมืองมาไหม ฉันนั่งลงตอบไลน์อย่างเชื่องช้าว่ายังเพลียๆ อยู่ งั้นก็ขอผ่านนะ แค่ฝากเอากระดูกแม่ที่บ้านมาสรงน้ำด้วยนะ ม่าม้าคงอยากเจอหลานๆแน่ๆ
🤨
ฉันจึงสรงน้ำพระและกระดูกแม่คนเดียวเงียบๆ ตอนเดินนำพระพุทธรูปและโกฏิกระดูกแม่กลับไปที่ชั้นสองของบ้าน รู้สึกเหนื่อยกว่าขาเอาลงมา ยกมือไหว้รูปแม่ พร้อมคำอฐิษฐานเบาๆ
“ม่าม้าหญิงเป็นอะไรก็ไม่รู้ รู้สึกแปลกๆ ม้าช่วยหญิงด้วยนะ”
แล้วบ่ายวันนั้นหลายอย่างก็ชัดเจนขึ้น
แม้ฉันยังติดอยู่กับคำว่าอ่อนเพลีย เพียงแต่ฉันรู้สึกได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่า นี่ไม่ใช่อาการที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเลย รู้สึกเหมือนว่าเดินเซ ไม่ใช่ตัวเอียง หรือเดินไม่ตรงอย่างที่ใจนึก เล่าให้เป็นภาพชัดขึ้น คือ ฉันเดินชนขอบประตู หรือเดินเตะสิ่งที่อยู่กับพื้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยเตะ บันไดเริ่มดูเหมือนว่าแต่ละขั้นมันสูงมาก ทำไมต้องใช้ความพยายามขนาดนี้
😓
ฉันรู้สึกอยากเอนตัวหงายหลังลงนอน เพราะการตั้งตัวตรงไม่ว่านั่งหรือยืน มันไม่สบายเลยจริงๆ แต่ไม่ใช่การเวียนหัว ไม่ใช่การวิงเวียน ไม่ได้เป็นลม เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆ อีกทั้งเมื่อจะลุกขึ้นก็เหมือนทำไม่ได้คล่องตัว
สัญชาติญาณบางอย่างบอกให้ฉันยกมือขึ้นแล้วมองไปที่ปลายมือ ฉันยังเห็นชัดอยู่ แต่เมื่อเคลื่อนไปซ้ายขวาบางอึดใจฉันเหมือนเห็นภาพซ้อน
วินาทีนั้น เริ่มคิดว่าฉันอาจจะไม่ได้แค่เพลียไข้ธรรมดานะ แต่เนื่องจากไม่ได้เจ็บปวดอะไร จึงคิดว่านอนตื่นมาก็น่าจะดีขึ้น พรุ่งนี้ถ้าไม่ได้ดีขึ้น จะไปหาละนะ
😵
ขอตัดตอนอาการนำหน้ามาที่ตรงนี้ และยกเหตุการณ์วันตื่นเต้น ไปในบทต่อไป
ฉันสารภาพตามตรงในความเป็นโง่ของตัวเองว่า จนถึงจุดที่เวลาเล่านั้น ฉันยังไม่คิดถึงคำว่า STROKE แม้แต่นิดเดียว ดังนั้นฉันจึงไม่ตระหนักได้เลยว่า มีเหตุผิดปกติเกิดขึ้นอยู่ในฝั่งซ้ายของร่างกายทั้งสิ้น การเรียบเรียงความคิดมาเป็นข้อเขียนนี้ได้ มาลำดับในภายหลังทั้งสิ้น (เป็นสิ่งยืนยันว่าสมองในส่วนความจำของฉันนั้น คงไม่ได้รับความกระทบเทือน)
😌
ถ้าให้อธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อย กับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เข้าใจว่าหลอดเลือดในสมองขอฉันในช่วงเวลานั้น คงมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะชี้วันเวลาที่แน่นอน ณ ตรงไหน แต่มันคงค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก อาการที่แสดงออกมาไม่ว่าจะถอดรองเท้าแตะไม่ได้ ถอดชุดชั้นในไม่ได้ เดินชนสิ่งกีดขวางอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องตลกนั้น ในความเป็นจริง สมองฉันกำลังสูญเสีย sensory ลืมวิธีการกระบวนการเคลื่อนไหวอันเป็นอัตโนมัติปกติ จนถึงเวลาที่อยากล้มนอนตลอดเวลา
😑
เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะอันมหัศจรรย์จึงสั่งการให้ร่างกายฝั่งที่แข็งแรง ยังพยุงร่างและการเคลื่อนไหวให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ทำให้ฉันอยู่ผ่านต่อไปได้อีกวัน จนถึงวันรุ่งขึ้นในตอนต่อไป
จดหมายเปิดผนึกถึงผู้ป่วย
ในขณะที่เขียน ฉันได้เดินทางผ่านวันอันน่ากลัวของวันที่ประสบเหตุ stroke ไปแล้ว แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ทำให้ฉันมักขนลุกและตื่นกลัว อย่างหลอนๆ อยู่บ่อยๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันนั้นจะเรียกว่าโชคดีมากก็เป็นได้ ที่ไม่เป็นอะไรไปมากกว่าที่เล่ามานี้ ทั้งที่อยู่คนเดียว ทำให้ การใช้ชีวิตที่มีหลังจากนั้น จึงเต็มไปด้วยการระแวดระวัง แต่พยายามประสาทเสีย เพื่อช่วยให้เราดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยไม่ละเลยอีก
ก็เลยอยากฝากประเด็นต่างๆเหล่านี้ไว้พิจารณา
- สังเกตอาการผิดปกติของตนเอง อย่างใส่ใจ ลดกังวล แต่ไม่ละเลย
เราไม่เคยเป็น stroke กันมาก่อน ดังนั้นสิ่งที่เกิดส่วนใหญ่จะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่าปล่อยผ่านเพราะไม่เคยเป็น
😒
อีกทั้งอาการของคนส่วนหนึ่งจะไม่ได้มากับความเจ็บปวด แต่จะเป็น “ความผิดปกติ” เช่น ยกแขนขกขาไม่ได้ พูดไม่ออก นึกคำไม่ได้ การมองเห็นผิดปกติ เช่นภาพซ้อน หรือกวาดตามองไม่ได้มุมมองกว้างเท่าเดิม ดังนั้นอย่าละเลย เพียงเพราะมันไม่เจ็บปวดนะคะ
แจ้งบอกคนใกล้ชิดให้ช่วยสังเกตการณ์ด้วยจะเป็นเรื่องดี
- ในกรณี เป็นคนที่อยู่คนเดียวเหมือนฉัน อย่าเห็นเป็นเรื่องไร้สาระที่จะมีโทรศัพท์มือถืออยู่ติดตัวเสมอ พร้อมทั้งหมายเลขฉุกเฉินต่างๆ เตรียมพร้อมไว้ด้วย เดี๋ยวนี้ฉันจะสะพายกระเป๋าใบจิ๋วที่มีโทรศัพท์มือถือและอาจมียาดม หรือเจลล้างมือ ติดมาด้วยตลอดเวลา เมื่อเวลาฉุกเฉินมาปะทะตัว เราจะร้องขอความช่วยเหลือได้ทันที
2. ฉันยังเตรียมกระเป๋าเดินทางฉุกเฉินใบเล็กไว้เสมอ วางไว้ในตำแหน่งที่หยิบง่าย เคลื่อนที่เร็ว หรือวานให้คนอื่นช่วยหยิบได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
จดหมายเปิดผนึกถึงญาติมิตรใกล้ตัว
หลายคนคงถามว่าต้องเป็นญาติมิตรของใครถึงต้องอ่านจดหมายเปิดผนึกนี้ ก็ต้องบอกตามค่าความเสี่ยงก็คือ
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ป่วยโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- ผู้มีน้ำหนักมาก มีความเครียดสูง หรืออดนอนติดต่อกันเป็นเวลานาน
พอเขียนครบ 3 ข้อ ก็ดูว่าพวกเราจะเป็นญาติมิตรของใครคนหนึ่งเสมอ แต่หากคุณเป็นผู้ใกล้ชิดของใครที่มีคุณสมบัติตั้งแต่ 2ข้อขึ้นไป ฉันขอเชิญชวนให้อ่านบันทึกครบทั้งหมดด้วยซ้ำนะคะมิใช่เพียงข้อที่ฝากไว้2-3 ข้อในจดหมายฉบับนี้
- อย่าละเลย คำว่า “รู้สึกแปลกๆ”
คงยากมากที่ผู้ป่วยจะบอกได้เองว่า “ฉันคิดว่า..เส้นเลือดในสมองฉันกำลังตีบ” หากจะรอคำนี้เพื่อจะได้ใส่ใจคนรักของคุณคงเป็นไปไม่ได้
แต่ขอให้ หยุดฟังและดู เมื่อมีใครเอื้อนเอ่ยคำว่า “รู้สึกแปลกๆ” อย่างที่เล่าให้ฟังว่าอาการส่วนใหญ่จะเป็นอาการผิดปกติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น ชาที่ไม่เหมือนเหน็บชา อ่อนแรงก็ไม่เหมือนอ่อนเพลีย สำลักแม้กระทั่งน้ำลายตัวเอง และมักเป็นความสูญเสียความสามารถบางอย่างไป เช่น ไม่รู้ร้อนเย็น พูดไม่ชัดเพราะลิ้นแข็งกระดกไม่ได้ กำมือหรือยกขาเดินได้ยาก จะเห็นจากการเดินลากขาโดยไม่รู้ตัวจนทำให้ชนหรือหลยสิ่งกีดขวางไม่พ้น
😵
เหตุอันไม่เคยเป็นมาก่อน จะทำให้ผู้ป่วยเล่าอาการได้ไม่ง่าย จึงมักจะมีคำว่า”รู้สึกแปลกๆ” ตามมากับคำแสดงอาการด้วย
- สังเกตอาการผิดปกติ หรือ ทดสอบ ง่ายๆ
อย่างที่ฉันเล่าให้ฟังในกรณีของตัวเอง ซึ่งจะไม่ตรงกับเคสที่เราเคยๆ ได้ยินมา อย่างเช่นปวดหัวอย่างรุนแรง อ่อนแรงจนเคลื่อนไหวไม่ได้ เช่นล้มลง หรือหยิบช้อนแล้วหล่น อาจจะเป็นเพราะฉันเป็นที่ฝั่งซ้ายที่เป็นฝั่งที่ทำงานรองอยู่แล้ว จึงสังเกตุเห็นอาการไม่ชัดเจน
ถ้าคุณเห็นอาการเหล่านนี้ไม่ชัดเจนว่าเกิดขึ้นที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง…. ให้ผู้สงสัยจะป่วยลองยกแขนทั้งสองพร้อมกัน (ข้างอ่อนแรงจะยกได้ช้ากว่าหรือยกได้ไม่สุดเท่าอีกข้างหนึ่ง) ใช้นิ้วชี้ของคุณทั้งสองมือให้ผู้สงสัยจะป่วยใช้มือบีบข้างละนิ้วพร้อมกัน (ข้างที่อ่อนแรงจะบีบได้แน่นน้อยกว่า) หรือลองให้ผู้สงสัยจะป่วยมองหน้าคุณตรงๆ แล้วให้ยิ้มยิงฟันจนสุด (ข้างที่อ่อนแรงจะยกมุมปาก หรือแก้มไม่ขึ้น..ทำให้หน้าสองข้างไม่สมดุล)
✊👈👉🤜
หากเห็นความผิดปกติ แต่ไม่เห็นชัดเจน และไม่แน่ใจ การไปพบคุณหมอ ก็น่าจะเป็นเรื่องดีที่สุดค่ะอย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ว่า 270นาทีทองนี้มีอยู่จริง ยิ่งไปถึงหมอเร็วก็ยิ่งดี
มีบทความที่เขียนเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ ลองคลิกดูนะคะ https://themomentum.co/acute-ischemic-stroke-patient-misunderstandings/
- ทำความรู้จัก Universal Coverage for Emergency Patients (UCEP) สิทธิการรักษาตามนโยบายรัฐ เพื่อคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต
ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ใกล้ที่สุดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจน พ้นวิกฤตและสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
เรียนรู้ทำความเข้าใจเบื้องต้น ใช้เวลาไม่มาก คลิกดูนะคะ https://www.nhso.go.th/page/coverage_rights_emergency_patients
หรือหากจะติดต่อสอบถามโรงพยาบาลใกล้บ้านไว้ก่อนก็ได้นะคะ และ save เบอร์ฉุกเฉินไว้ในมือถือเลย
ใส่ความเห็น