น้องชายมารับฉันเพื่อจะออกจาก รพ. แห่งที่หนึ่ง ระหว่างกำลังรอยาและชำระเงินนั้น ฉันเองยังคงดูอ่อนเพลียอยู่ แม้จะได้น้ำเกลือมาจนบวมแล้ว ฉันได้เอ่ยปากกับน้องชายด้วยความกังวลเบาๆ
“ อาธ . ..เจ้รู้สึกเหมือนพูดไม่ชัดอ่ะ”
“ไม่นิจ๊ะ อาธก็ว่าฟังชัดดีอยู่ แค่เจ้พูดเบาๆ เหมือนเวลาไม่สบายเท่านั้น”
“แต่เจ้รู้สึกเหมือนลิ้นแข็ง ลิ้นคับปากนะ พูดสอ เสือ ก็ไม่ชัด”
น้องชายเลยเดินมาหาตรงหน้าก้มลง และบอกให้ยิ้มยิงฟัน อาธมองหน้าเราเสร็จก็กำมือตัวเองทั้งสองข้าง ยื่นแต่นิ้วชี้ ออกมา แล้วบอกให้เรากำนี้นิ้วชี้เขา มือละข้าง แล้วออกแรงบีบ เราก็ทำตามแบบว่าง่าย
✊👈❤️👉👊
แล้วอาธก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไร เห็นไกลๆ ว่ากำลังโทรศัพท์ คงโทรหาเฮียแน่ๆ
📱
ใช่แล้ว อาธเดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับ VDO CALL ที่มีปลายสายเป็นพี่ชาย
😬
“ไง เป็นไง” พี่ชายยังคงพูดยิ้มๆ ให้ทุกอย่างดูผ่อนคลาย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าอาธ โทรคุยอะไรไปบ้าง
“ หญิงว่า หญิงพูดไม่ชัด เหมือนลิ้นแข็งอ่ะ”
“แต่เฮียก็ฟังว่าชัดดีนะ มีแต่เสียงเบาไปหน่อยเท่านั้น”
“ไหนลองยิ้มสิ ยิ้มให้สุด กัดฟันไว้ ยิ้มสุดรึยัง ยกได้อีกไหม อ้าวโอเคละ…😬
” เออ มุมมปากซ้ายตกนิดหน่อยนะ เดี่ยวให้อาธมาส่งที่ รพ นี้ เฮียจะรออยู่ไม่ต้องกังวล มาตรวจกันก่อน”
ฉันไม่แน่ใจว่า คำว่าไม่ต้องกังวลนั้นมันจริงแค่ไหน เพราะอาธออกไปคุยโทรศัพท์ต่อกับเฮีย จากนั้นก็เร่งขบวนการจ่ายยา จ่ายเงิน และ check out จาก รพ.อย่างรวดเร็วร้อนรน
🚐💨
เรากำลังมุ่งหน้าจากพุทธมณฑลเข้ากรุงเทพ ด้วยความเร็วเต็มกำลัง พี่ชายก็โทรเข้ามือถือน้องอาธอีกครั้ง นัยว่าถึงไหนแล้ว ใช้เวลาอีกมากไหม และให้ตรงเข้ามาที่ER เลย เฮียจะรออยู่ที่นั่น
😱
ฉันเริ่มตระหนักแล้วว่า คงไม่ใช่การตรวจปกติธรรมดา ยอมรับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฉันนึกถึงคำว่า STROKE อย่างจริงจัง จนตัวเย็นวาบ พูดอะไรไม่ออกนอกจากน้ำตาไหลเป็นทาง ยอมรับอย่างลูกผู้หญิงว่า กลัว กลัว สุดใจ มีความคิดมากมายวิ่งแล่นเข้าหัว แต่ลำดับอะไรไม่ได้เลย ทำได้ดีที่สุดคือ ร้องไห้อย่างเงียบที่สุดเท่าที่ทำได้ น้องอาธก็ได้แต่บีบมือพี่สาวตัวใหญ่ๆ ที่ใจปลาซิวให้อุ่นใจขึ้นมาบ้าง แม้เขาไม่พูดอะไร แต่เราก็รู้สึกได้ถึงความเป็นห่วง และอยู่เคียงข้างกัน
เราถึง รพ ที่พี่ชายทำงานอยู่ ในไม่กี่อึดใจ เหมือนมีการประสานไว้หมดแล้ว เมื่อเราแจ้งชื่อพี่ชายไป ทีม ER และยอดมนุษย์ชุดสีฟ้าหลายคน ที่ปักอักษรคำว่า STROKE ตัวเบ้อเร่ออยู่ข้างหลัง เข้ามารุมช่วยเหลือ ฉันหน้าชาทันทีที่เห็นคำนั้น จากนั้นก็จำแทบไม่ได้ว่า ขึ้นเตียงแล้วถูกเข็นมาที่ห้องตรวจในแผนกฉุกเฉินได้อย่างไร ทุกอย่างเร็วมากจริงๆ มีคำถามสั้นๆ และคำสั่งการภาษาแพทย์ลอยไปมา ข้ามหัวเต็มไปหมด อุปกรณ์ต่างๆ เริ่มมาติดตามตัว เสียงขานแรกคือความดันโลหิต 202/103 เจ้าหน้าที่ไม่มีการพูดความคิดเห็นสูง หรือต่ำ มาก หรือน้อย เหมือน รพ. แห่งที่หนึ่ง มีแต่คำว่าแจ้งอาจารย์หมอด้วย
👨⚕️
ไม่กี่อึดใจพี่ชายก็เปิดม่านเข้ามา ความเกร็งจากการอยู่ท่ามกลางการทำงานที่รวดเร็วของเหล่ายอดมนุษย์สีฟ้า เบาลงทันที เมื่อเห็นหน้าพี่ชาย….
👨👧
ความรู้สึกเหมือนย้อนไปในวัยเด็กอนุบาล ที่ฉันกลัวทุกอย่างในโรงเรียน ครูเสียงดุ และพื้นที่ไม่คุ้นเคย แต่ทันทีที่พี่ชายโผล่หน้ามาที่ห้อง เราก็จะยิ้มกว้างโล่งใจ …พี่มาแล้ว จะได้กลับบ้านแล้ว!!!
🙆♂️🙆
แต่วันนี้อาจต่างไปนิดหน่อย ที่เราเห็นหน้าพี่ชาย แล้วจะยังไม่ได้กลับ้าน อีกเป็นอาทิตย์
ขณะนี้พี่ชายกำลังเป็นหมอของเรา… ไม่ได้พูดไปยิ้มไปเหมือนปกติ แต่เขาก้มลงมาพูดในระดับหูของเรา ด้วยเสียงหนักแน่นชัดเจนทุกคำ ด้วยคำถามสั้นๆ ถึงอาการปัจจุบัน และการ รักษาอะไรบ้างจาก รพ แห่งที่หนึ่ง
🙋🤦
จากนั้นก็เริ่มการทดสอบ ไม่ว่าจะยกแขนยกขา สลับซ้ายขวา ทดสอบการต้านแรง การบีบจับ ฉันได้ยินพี่ชายจะขานคำหรือสั่งการภาษาอังกฤษอะไรบางอย่างที่เราฟังไม่เข้าใจให้ยอดมนุษย์สีฟ้าจดและรับคำ ฉํนฟังรู้เรื่องแต่อะไรบ้างอย่างที่อยู่ระดับ 4 และตรวจ MRI
🥶
จากนั้นทุกอย่างก็ยอดมนุษย์สีฟ้าก็เคลื่อนที่เร็วอีกครั้ง ฉันถูกเจาะเลือดและได้รับการต่อติดกับสายน้ำเกลืออีกครั้ง ทั้งๆ ที่เพิ่งถอดออกจาก รพ ที่แล้ว แล้วได้รับการแจ้งว่าห้อง ตรวจMRI พร้อมแล้ว ในเวลาไม่นาน
จะเรียนให้ทราบตามตรงว่าในการเข้าเป็นผู้ป่วยหลอดเลือดสมองตลอด1 อาทิตย์เต็มๆ หลังจากนี้ ไม่มีขบวนการรักษาใดๆ ที่สร้างความเจ็บปวดทางร่างกายเลย สิ่งที่ยากที่สุด ซึ่งไม่ได้เจ็บปวด ไม่มีการฉีด ผ่าใดๆ นอกจากความอึดอัดที่กินเวลานานเหมือนกัปกัลป์ก็น่าจะเป็นการตรวจMRI (Magnetic Resonance Imaging)นี่เอง ซึ่งเป็นเครื่องตรวจร่างกายโดยการสร้างภาพเหมือนจริงของส่วนต่างๆของร่างกาย โดยใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูง เพื่อให้แพทย์เห็นความขนาดความผิดปกติและ ตำแหน่งของการอุดตัน หรือ แตกของเส้นเลือดในสมอง
😣
ผลการตรวจ MRI ก็เป็นไปตามที่เล่าให้ฟังตั้งแต่ตอนแรกแล้วนะคะ
ถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากถามหา “จำเลย” ว่าอะไรเป็นสาเหตุของ stroke ครั้งนี้
ฉันเองนั้นยังไม่มีบทสรุปให้เด็ดขาดว่า อะไร คือ จำเลยในคดีนี้ หากแต่มี “ผู้ต้องสงสัย” เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่…. ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือด ซึมเศร้า เครียด นอนน้อย แม่ตาย หรือ ย้ายบ้านใหม่!!!!
🏘️
เมื่อฉันถูกส่งตัวเข้าห้องพัก พี่ชายเดินเข้ามาถามชัดๆ ช้าๆ แบบหมออีกแล้ว
“ความดันหญิงสูงมาก และค่าไขมันในเลือดก็สูงมากเหมือนกัน 250กว่าเลยนะ… นี่หญิงกินยาอยู่หรือเปล่า? ”
โป๊ะเช๊ะ!!!! ผู้ต้องหา รายที่ 1 ละ 2 พร้อมเข้ามอบตัว
“ ไม่ได้ทานประจำค่ะ ขาดๆ หายๆมาสักพักแล้ว”
พี่ชายทำหน้าเหม็นเบื่อคนไม่มีวินัย พร้อมๆ กับเหมือนสารวัตรจับโจรได้
🙄
“แต่ยังไงตอนนี้เฮียยังไม่ให้ยาลดความดันในทันทีนะ อยากให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากที่สุดก่อน แต่ไม่ต้องกังวล พยาบาลจะ monitor ตลอดนะ และ ยังต้องให้น้ำเกลือให้เลือดเหลวใส ไหล flowต่อเนื่องด้วย ทนรำคาญนินึง แต่เวลาให้ยาอะไรก็จะง่าย เข้าไปกับสายนี้เลย ห้ามลงจากเตียงเองนะ จะเข้าห้องน้ำ ต้องกดเรียกพยาบาล แต่ทางที่ดีอยู่บนเตียงก่อนนะ อย่าคิดมาก นอนหลับได้จะดีนะ”
😢
ฉันยังเหมือนได้ยินเสียงนี้จากที่ห่างไกลเหมือนเดิม น้ำตาไหลพรากๆ ยังไม่ยอมรับสภาพอัมพฤกษ์ของตัวเองมากนัก และจากประวัติเดิมกับอาการซึมเศร้า พี่ชายก็ได้ให้ยาคลายกังวล เพื่อระงับความฟุ้งซ่าน เพื่อให้หลับได้บ้าง
😭😴
ใช่ค่ะ ฉันมีอาการซึมเศร้ามาประมาณ 4-5 ปีก่อนแม่จะเสีย อาจเป็นความเครียดในการดูแลคนป่วย หรือระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงตามวัย ซึ่งอาการร่วมอย่างชัดเจนที่มาพร้อมกันก็คือ การนอนไม่หลับต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ยิ่งนอนไม่หลับ ก็ยิ่งคิด ยิ่งคิด ก็ยิ่งนอนไม่หลับ หมุนวนเป็นวงจรอุบาทก์ ในช่วงที่ peak สุด เคยรู้สึกว่านอนหลับแบบไม่มีคุณภาพเลย 3 วันติดกัน ก่อนจะสลบเหมือด และหลับยาวในวันที่ 4
🧟
การทานยาขาดๆ หายๆ ไม่ใช่เฉพาะกับยาลดความดันโลหิต และลดไขมันในเส้นเลือดเท่านั้น แต่หมายถึงยาเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นยานอนหลับ ยาคลายเครียด หรือยาที่ช่วยปรับเรื่องสารเคมีในสมอง เพื่อบรรเทาอาการซึมเศร้า ด้วยเพราะเป็นคนไม่ชอบกินยาเลย ผนวกกับการละเลยความใส่ใจในตัวเองของคนมีอาการซึมเศร้า และการมุ่งจดจ่อไปกับการดูแลแม่ในช่วงท้ายๆ ของชีวิต
🧖
แต่ฉันจะไม่โทษใคร หรืออะไรเลยนะคะ ที่ไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเอง เรามีทางเลือกในการใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้ แม้ในความยุ่งยากสับสน เรายังควรเห็นตัวเองเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตตัวเองให้ได้
มิฉะนั้น เราอาจต้องจ่ายค่าละเลยนี้ ในราคาที่มากมาย จนบางทีก็รู้สึกว่ามันหนักเกินกว่าจะแบกไหว ถึงเวลานี้ต้องกินยามากกว่าเดิมอีกหลายเท่า และต้องกินไปตลอดชีวิต …แต่ก็ไร้ข้อเกี่ยงงอนใดใดแล้วค่ะ เพราะฉันไม่มีกำลังพอจะจ่ายค่าละเลยอีกได้แล้ว จากวันนี้ไปจะดุแลใส่ใจตัวเองอย่างจริงจัง ซึ่งเราคิดว่านี่คือวิธีบอกรักคนในครอบครัวที่ดีที่สุด เพื่อลดภาระและลดความกังวลที่มีต่อเรา
ยัง ค่ะ ผู้ต้องสงสัยยังไม่หมด …..
หลังแม่เสีย ชีวิตฉันดิ่งอยู่ในความเศร้าราวครึ่งปี ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเพื่อ move on ต่อไป ฉันเริ่มมองหาบ้านที่อยู่อาศัยใหม่ที่โล่งโปร่งขึ้น เพราะคอนโดห้องแคบๆ มืดๆ บนตึกสูงๆ อาจเป็นเสมือนบ่อน้ำที่ลึกมาก ที่ผู้มีอาการซึมเศร้าจะว่ายออกมาไม่ได้และ ทุกอย่างจะหม่นเศร้าและบีบรัดขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนจมน้ำ อยู่หลายครั้ง ฉันเริ่มหาบ้าน ซื้อบ้าน และย้ายบ้าน ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น
🏘️🏡🏠
จะบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวในการย้ายถิ่นฐาน ย้ายบ้าน ย้ายสิ่งแวดล้อมทั้งหมดเพื่อเริ่มต้นใหม่ในวันวัยเช่นนี้ มีเรื่องจุกจิก กับการแก้ปัญหารายวัน ฉันเองคงมีความกังวล และเครียดลึกๆ ที่แฝงไว้ในรอยยิ้มของช่วงเวลานั้น และแน่นอนอาการนอนไม่หลับสลับกับการหลับเป็นตาย มันมาเยือนอีกครั้งแม้จะไม่ใช่อาการร่วมกับซึมเศร้าอีกแล้ว ก็ตาม(คนเคยเป็นจะทราบว่าความเครียด หม่น ซึม และเศร้า นั้น ต่างจากอาการซึมเศร้ามากนัก)
ดังนั้น มีผู้ต้องสงสัยร่วมกับ ความดันโลหิตสูง และไขมันในเส้นเลือดสูง ซึ่งตามเอกสารเกี่ยวกับการแพทย์มักยกให้เป็นจำเลยของคดีโรคเส้นเลือดในสมองเสมอ แต่นักวิทยาศาตร์ทางสมองหลายท่านก็เคยอ้างอิง เรื่อง “คุณภาพการนอน” ว่าเป็นปัจจัยในโรคสมองหลายชนิดรวมทั้ง STROKE ด้วย และผู้(ไม่)ต้องหาอย่าง “ความเครียด” ก็พร้อมเข้าสู่ทุกคดีความทางสุขภาพในยุคใหม่อยู่แล้วนะคะ
ส่วนผู้ต้องสงสัยรายสุดท้ายที่ฉันนึกถึง ก็อาจจะเป็น …แม่…ของฉันเอง
ในที่นี้ ฉันไม่ได้เจตนาจะหมายถึง STROKE จะเป็นในในโรคที่อาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ด้วยทั้งพ่อและแม่ฉันนั้น ได้เคยติดฉลากว่าเป็นผู้ป่วยหลอดเลือดสมองมาแล้วทั้งคู่ วันที่ฉันทำ MRI จำได้ว่าพี่ชายได้บอกว่า
“ภาพใน MRI หญิงมีร่องรอย storke มาก่อนหน้านี้แล้วนะ เพียงแต่มันคงไม่มีอาการ”
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายที่ได้ยินข่าวนี้ ขอให้รู้เพียงว่าสมองเป็นอวัยวะมหัศจรรย์ที่พยายามทำให้เรารอดชีวิต และรักษาอาการตัวเองได้ (เซลส์สมองส่วนข้างเคียงจุดที่เสียหาย จะพัฒนาตัวเองให้มาทำหน้าที่แทนได้)
“เฮียว่า ว่างๆ เฮียกับอาธ น่าจะต้องมา MRI สมองดูไว้บ้าง” พี่ชายรำพึงกับน้องชายเบาๆ
🙋♂️🤦🤷♂️
เนื่องจากฉันอาจเป็นผู้ยืนยันถ้อยคำในตำรา เรื่องโรคทางพันธุกรรมที่ใกล้ตัวและชัดเจนที่สุดที่พี่ชายจะตระหนัก และตักเตือนไปถึงผู้ร่วมสายโลหิต
💙❤️💚
แต่อย่างที่เรียนว่ากรณีที่จะเล่านี้ไม่ได้อ้างอิงวิทยาศาสตร์ อาจจะเป็นสายมู ล้วนๆ!!!!
ม่าม้า หรือแม่ของฉันเสียชีวิตไปแล้วปีเศษ ด้วย โรคหัวใจ แต่จริงๆ แล้วแม่ทุกข์ทรมานด้วยหลายโรครุมล้อม อยู่ในกลุ่มโรคโรค NCDs หรือ non-communicable diseases เป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ทั้งความดัน ไขมันสูง หัวใจ ไต ใน 4-5 ปีหลัง แม่เข้าออก รพ.เป็นว่าเล่น และถี่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วฉันก็จะเป็นคนเฝ้าไข้ ก่อนจะถึงช่วงที่แม่นั่ง wheelchair ตลอด จนต้องจ้างคนมาดูแล 24 ชม.
😇
แม่จะเข็มแข็ง อดทนต่อความเจ็บปวด และความรวนของร่างกายเสมอต่อหน้าคนอื่น แต่เมื่อถึงเวลาที่ไม่มีใครอยู่เยี่ยมไข้ ตกดึก เวลาปิดไฟนอน ฉันถึงจะได้ยินแม่คราง ฮือๆๆๆ หรือโอยๆๆ อยู่เสมอ
บางครั้งเป็นภาวะที่ตื่นอยู่ หลายครั้งเป็นการละเมอหรือหลับไปแล้ว แสดงว่าความเจ็บปวดนั้นคงบาดลึกลงไปถึงระดับจิตใต้สำนึกทีเดียว
😢
หากเสียงนั้นแสดงความบาดเจ็บรุนแรง ฉันก็จะแจ้งพยาบาลเพื่อหาทางเยียวยาทางใดทางหนึ่ง แต่หากเสียงละเมอนั้นแผ่วเบา ฉันก็อยากให้แม่หลับพักผ่อน ดีกว่าปลุกตื่นให้มีคนมายุ่ง วัดนู้นวัดนี่ ฉีดนู้นฉีดนี่ เชื่อว่าบางทีการที่ปลดปล่อยความอ่อนแอออกมาบ้าง อาจทำให้แม่ทรมานน้อยลง
แต่ยอมรับสารภาพแต่โดยดีว่า เราเองในฐานะผู้ฟังเสียงทรมานของแม่ มันเจ็บปวดมาก จนหลายครั้งน้ำตาก็ไหลเหมือนหยุดไม่ได้ ทำได้เพียงแต่เอาผ้าห่มปิดปากไว้ไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมา สิ่งที่ฉันทำบ่อยๆ เมื่อเผชิญเหตุการณ์เหล่านี้ ฉันมักยกมือพนมขึ้นในความมืด ส่งคำอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าหากมีอยู่จริงว่า ขอให้หญิงเป็นคนรับความทรมานหรือความเจ็บปวดของม่าม้าแทนได้ไหม หญิงอยากให้ม้าสบายตัว สบายใจขึ้นมาบ้าง
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าผลของคำขอให้วันนั้น มันปรากฏขึ้นที่วันนี้หรือเปล่า แต่หากมันเป็นจริงดั่งคำขอ ฉันก็ไม่ได้เสียใจเลย เพราะนั่นก็แสดงว่า สิ่งศักสิทธิ์คงช่วยให้แม่สบายตัวขึ้นบ้างในวันนั้นๆ ก็เป็นได้
😇
ไม่ว่าเรื่องคำอธิษฐาน จะเป็นจริงหรือไม่ และพิสูจน์ไม่ได้ แต่เรื่องนี้ที่ประจักษ์แน่แท้ คือ ฉันเข้าใจในผู้เป็น STROKE อย่างมากขึ้นแน่อน ในฐานะผู้ดูแลผู้ป่วยจะต้องบอกว่า มีหลายเรื่องที่เราไม่เข้าใจ และปฏิบัติต่อผู้ป่วยอย่างมองข้ามหรือผิดขั้นตอน ฉันเองก็ไม่ได้เป็นพยาบาลผู้ป่วยที่ดีนักหากวัดจากความเข้าใจในจิตใจของผู้ป่วย
✍️
วันนี้จึงพยายามใช้ความสามารถของตนเองในการถ่ายทอด ความคิด ความรู้สึกของผู้ป่วย STROKE ออกมา โดยหวังว่าจะช่วยทั้งตัวผู้ป่วยเอง และผู้ดูแลได้ต่อสู้และอยู่กับโรคนี้ ด้วยความเข้าใจ โดยเฉพาะช่วงฟื้นฟูร่างกาย หลังจากออก จาก รพ และการทำกายภาพบำบัด เพราะเป็นช่วงที่ผู้ป่วยจะบอบช้ำทางจิตใจที่สุด ที่รับรู้ถึงการสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิต แต่ก็กลับเป็นช่วงเวลา ที่ต้องใช้พละกำลังทั้งกายใจสูงสุดในการเรียกความสามารถเหล่านั้นกลับมาด้วย
ดังนั้น ฉันขอจบการสืบหา “ผู้ต้องหา” และ”จำเลย” ในเหตุการณ์นี้ อย่างไม่อยากเสียเวลา แต่ขอใช้กำลังทั้งหมดในการดูแลตัวเอง และฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของวันข้างหน้า โดยจะเล่าในตอนต่อๆ ไปนะคะ
……………………………………
จดหมายเปิดผนึกถึงผู้ป่วย
โดยเฉพาะ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน และผู้มีอาการซึมเศร้า ที่แพทย์สั่งให้ทานยา
โรคที่กล่าวอ้างถึงส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกลุ่มโรค NCDs หรือ non-communicable diseases เป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง พอพูดถึงคำว่า …เรื้อรัง แปลว่าคุณคงได้รับการสั่งยาให้กินต่อเนื่อง เป็นเรื่องน่าเบื่อ และสูบเงินเอามากๆ นะคะ เข้าใจดี และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
🤦♀️
หากไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คุณก็จะรู้สึกปกติดีเหมือนคนทั่วไป ไม่เจ็บปวดอะไร จนบางทีสงสัยว่า เราจะกินยาไปทำไมเนี้ย และมีอีกหลายคน ที่คิดว่าช่วงนี้ฉันออกกำลังกาย แข็งแรงมากเลยนะ ช่วงนี้ฉันไม่ได้กินเยอะ ไม่ได้กินชานมไข่มุกแล้วนะ ช่วงนี้ฉันน้ำหนักลด ไม่กินยาก็คงไม่เป็นไร…มั้ง
👩⚕️
ไปพบแพทย์และปรึกษาสักนิด หากต้องการขอลด หรือ งดยา อย่าตัดสินใจเองเลยนะคะ ขอให้มีการตรวจอย่างละเอียดสักครั้งก่อนการทำอะไรโดยพลการ ขอให้เคสของฉันเป็นข้อเตือนใจ ในการรักษาวินัยในการดูแลตัวเองนะคะ เพราะราคาที่ต้องจ่ายค่าละเลยนี่ แพงมาก แพงด้วยเงิน แพงด้วยเวลา และแพงด้วพลังใจ เรียกว่ารีดกันจนหมดตัวได้เลยเชียว
😬
จากข้อมูลที่ศึกษาเพิ่มเติม ผู้ป่วย STROKE มีค่าเฉลี่ยของอายุลดลงเรื่อยๆ เรื่องนี้ไม่ใช่โรคของผู้สูงวัยอีกต่อไป จากการพูดคุยกับนักกายภาพผู้ป่วย STROKEที่เขาดูแล มีช่วงอายุ 40ปีเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อน ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าเห็นใจ เพราะด้วยช่วงอายุยังอยู่ในวัยทำงาน กำลังรุ่งโรจน์เลยด้วยซ้ำ (ส่วนทางเรานั้น เลข 5 แล้วก็รุ่งริ่งบ้างแล้ว555) จึงขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ทุกวัย ดูแลตัวเองดั่งคนสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะเราเชื่อว่าในแต่ละช่วงวัย คุณอาจให้ความสำคัญกับใคร หรือกับอะไร มากกว่าตัวเองไปบ้าง
…………………………..
จดหมายเปิดผนึก ถึงญาติมิตรของผู้ป่วย
- คำถามที่ตอบยากที่สุดในโลก
“เป็นเพราะอะไร?”
อย่างที่ฉันเล่าให้ฟังว่ามี “ผู้ต้องสงสัย” มากมาย แต่ก็ไม่สามารถระบุตัว “ผู้ต้องหา” ได้ เหมือนโรคในกลุ่ม NCDs หรือ non-communicable diseases ทั่วไป เนื่องจากมันไม่ได้เกิดเชื้อโรคตัวใดๆ
🙄
และเมื่อผู้เยี่ยมไข้เอื้อนเอ่ยถามคำถามนี้ โดยที่ไม่คำตอบโดยชัดเจน …ตัวผู้ป่วยเองก็จะกลายเป็นจำเลยของตัวเอง… ไม่ว่าจะรู้สึกถึงเวรกรรม กรรมชาติที่แล้ว บาปเมื่อภพก่อน หรือ กรรมชาตินี้ ที่กินไม่เลือก เครียดมาก นอนน้อย ไม่ยอมกินยา นี่แหน่ะสม สม สม……ท้ายที่สุดผู้ถามคำถามนี้ จะไม่รู้ตัวเลยว่า ได้ยัดเยียด “ความรู้สึกผิด” และ “ความรู้สึกโชคร้าย” ทิ้งไว้กับผู้ป่วย โดยมันจะไม่ออกตามคุณไป แม้คุณจะเยี่ยมไข้เสร็จแล้วเป็นอาทิตย์ๆ
😵
โปรดยุติบทสนทนาที่คุณคิดว่ามันแสดงความเป็นห่วงแต่มันบาดลึกกับผู้ป่วยไว้เถอะนะคะ โปรดมองเห็นผู้ป่วยที่วันนี้ โดยไม่ต้องเทียบเคียงกับความสามารถเดิมๆ ในอดีตด้วย ไม่ต้องเสียใจหรือเสียดายอะไรแทนเขาด้วย การให้กำลังใจ นั้นดีที่สุด และเปี่ยมพลังพอแล้วค่ะ ผู้ป่วย STROKEยังเป็นผู้มีความสามารถ เพียงแต่บางอย่างได้ถดถอยลงไป กำลังใจของคุณจะทำให้เขาพัฒนาขึ้น ทีละเล็กละน้อย อาจจะไม่เท่าเมื่อก่อน แต่มันจะเป็นเรื่องดีดีๆได้แน่นอนค่ะ
ใส่ความเห็น