15/4/2021 เมื่อคืนฉันนอนหลับไม่สนิท เพราะมีความไม่สบายตัวไปหมด พลิกไปพลิกมา ก็ยังไม่สะดวกเลย อีกอย่างฉันพบว่าอาการด๋อยแรกของวันนี้ คือ ฉันนอนน้ำลายไหล ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พอรุ่งสางฉันลุกขึ้นมาด้วยอาการปวดท้อง เริ่มมีอาการท้องเสีย ฉันเดินเข้าออกห้องน้ำหลายครั้ง แม้จะไม่ได้รู้สึกท้องร่วงมากนัก แต่ฉันก็ปวดบีบๆ ในท้อง การเคลื่อนไหวเริ่มไม่คล่องตัว เวลาเดิน เหมือนเราเหยียบพื้นไม่เต็มเท้า ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าต้องไป โรงพยาบาล เพราะรู้สึกอ่อนเพลียมากขึ้นเรื่อยๆ
พอสว่างแล้ว ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวฉันพบอาการด๋อยอีกอย่างแล้ว เมื่อยกขาข้างนึงเพื่อสวมกางเกง ฉันเซ จนต้องเอาตัวไปพิงผนังไว้กันล้ม แต่ก็พยายามให้ผ่านด่านให้ได้แล้วรีบคว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็ก ที่เตรียมไว้ ปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย เพราะคิดว่าคืนนี้คงต้องนอน รพ.แน่ๆ
🤔
จากห้องนอนชั้น 2 ฉันก้าวช้าๆ ลงบันได ด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจบางอย่าง บางเสี้ยววินาที รู้สึกแปลกมากเหมือนฉันกับขา(คงเป็นขาซ้าย) เป็นคนละร่างกัน ฉันเหมือนว่าเท้าที่มองเห็นนั้นเป็นเท้าคนอื่น เพราะการก้าวเหยียบนั้น มันรู้สึกไกลตัว ไม่เจ็บ ไม่ชา แต่เหมือนไม่ใช่เจ้าของ บังคับไม่ได้ ….อยู่ดีๆ ฉันก็รู้สึกกลัวจนจับขั้วหัวใจ (อาการหลอนกลัวบันไดนี้ ยังคงตามติดฉันมาอีกหลายเดือน แม้จะเดินแข็งแรงแล้วก็ตาม)
แต่……แน่นอนฉันไม่ได้คิดถึงคำว่า STROKE เลย
ฉันดันไปคิดถึงโรคฮิตแห่งยุค… หรือฉันจะเป็น โควิด!!!!
เป็นไข้ เจ็บคอ ท้องเสีย อ่อนเพลียครบชุด
โดนแน่ แล้วฉัน!!!!
ฉันสูดหายใจเฮือกใหญ่ เพื่อรวบรวมพลังที่เหลือน้อยนิด เข้า application เพื่อเรียกรถมารับไป รพ. ซึ่งจังหวะนี้คิดว่าดีเหลือเกินที่ใช้แอ้พ ด้วยการปักหมุดปลายทางจะได้ไม่ต้องพูดจากัน เพราพหากฉันเป็นโรคอะไรที่ติดเชื้อ จะได้ลดการแพร่เชื้อ อีกทั้งฉันจะได้นอนพักได้สักนิด
🚕
พอขึ้นรถได้ ฉันแจ้งปลายทางให้กับคนขับเพื่อยืนยัน
เขาหันมาถาม“ฮ่ะ อะไรนะครับ”
เขาไม่ได้ยินฉันพูด…. อาจเพราะเสียงอันแผ่วเบามาก และฉันก็รู้สึกได้อีกว่า
….ฉันพูดไม่ชัด!!!!
มันคือ อาการด๋อยที่ 3 ของเช้านี้
หมุดหมายปลายทาง เป็น รพ เอกชน ในละแวกบ้านที่ไม่ไกลนัก แต่สำหรับฉันตอนนั้นเหมือนไกลข้ามจังหวัด ด้วยต้องพยายามฝืนตัวให้มีสติ ทั้งๆ ที่เหมือนว่าพลังงานจะอ่อนเหลือเกิน คิดว่าบางช่วงของการเดินทางฉันก็คงเผลอวูบไปแว้บๆ เหมือนกันนะ เพราะมีความรู้สึกฝันๆ ตอนมาถึงโรงพยาบาล
🏥
พอรถเข้าเทียบที่จอด เวรเปลเปิดประตูให้ ฉันส่งเสียงออกไปอย่างอ่อนล้า ว่าขอ wheel chair และแจ้งว่า ท้องเสีย อ่อนเพลียเหลือเกิน เวรเปลรับฉันขึ้นเก้าอี้เข็น แล้วเข็นไปแจ้งพยาบาลรับเรื่อง… แต่พบว่าฉันต้องไปอีกตึกนึง เวรเปลมองสภาพฉันแล้วทำเสียงกังวลว่า ขึ้นรถกอล์ฟไหวไหมครับ
😬
ใจคงทำงานเก่งกว่าร่างกาย ในเมื่อฉันคิดว่ามันคืออ่อนเพลีย ไม่มีอะไรมากน้อยไปกว่านั้น ฉันเลยตอบเขาไปว่า “ไหวค่ะ” แต่เมื่อลุกขึ้นจากรถเข็น เพื่อจะขึ้นรถกอล์ฟ มีความรู้สึกว่าก้าวขาไม่ค่อยขึ้น จนเวรเปลต้องช่วยประคองและให้พยาบาลนั่งรถกอล์ฟข้ามตึกไปด้วย
😑
และแล้วก็ถึงจุดตรวจคนไข้เสียที ด้วยความเป็น รพเอกชน จึงรวดเร็วมาก อีกทั้งเป็นช่วงวันหยุดยาว และสถานการณ์โควิด รพ.จึงเงียบร้างพอสมควร
😑
ฉันเพลียจนเกือบจะหลับไป เพราะความสบายใจว่าถึงมือหมอแล้ว แล้วมือหมอก็มาแตะตัวจริงๆ
👩⚕️
“ท้องเสียมาหรือคะ ถ่ายไปกี่ครั้งคะ ทำไมดูเพลียเหลือเกิน” หมอดูจากเอกสารส่งตัวที่ฉันแจ้งพยาบาลไว้เบื้องต้น จากนั้นบทสนทนาก็วนเวียนถามไถ่ถึงการท้องเสีย และประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับโควิด
🤢
คุณหมอจบบทสนทนาช่วงนี้ ที่ว่า “อยู่ รพ สักคืนนะคะ ให้น้ำเกลือกันหน่อย เผื่อที่ดูเพลียจะดีขึ้น แล้วขอเจาะเลือดเพาะเชื้อดูนินะคะ จะแจ้งแพทย์ระบบทางเดินอาหารช่วยดูอีกนะคะ”
🙃
ฉันตอบสั้นๆ อย่างหมดแรงสนทนา “ค่ะ”
ใช่ค่ะ…ฉันไม่ได้เล่าอาการที่เกิดขึ้นทั้งหมด อย่างที่คุณๆ อ่าน เพราะตอนนั้นหลายๆ เรื่องไม่ได้ตระหนักว่าเป็นอาการร่วม เช่น ใส่รองเท้าแล้วถอดไม่ได้ หรือ การใส่ตะขอชุดชั้นในไม่ได้ และอีกหลายๆ เรื่อง ถูก register เป็น “ความอ่อนเพลีย” ทั้งการเดินเซ โงนเงนจะล้ม หรือ ง่วงนอนตลอดเวลา
🤐
บนเหตุการณ์นี้ ฉันได้คุยกับพี่ชายในเวลาต่อมาว่า โดยทั่วไป หมอไม่สามารถเห็นอาการคนเป็น stroke ได้เลยเหรอ ทั้งๆ ที่ฉันถึง รพแล้วก็ยังไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องของผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง
🤐
พี่ชายผู้ซึ่งเป็นแพทย์ทางสมองบอกให้ฉันกระจ่างว่า หมอไม่สามารถตัดสินใจจากอาการภายนอกได้ทันที ในกรณีนี้ไม่มีการตรวจความผิดปกติที่เกิดทางสมองเบื้องต้นเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากข้อมูลที่คนป่วย(ซึ่งคือฉันเอง) ให้ในขอบเขตจำกัด และ(พยายาม)ชัดเจนมากว่า ท้องเสีย และอ่อนเพลีย คุณหมอจึงตรวจหาสาเหตุและรักษาจากอาการที่ฉันแจ้งว่ารู้สึกอะไรบ้าง
👨⚕️
ตัวเราเองนี่แหล่ะคือ Game Changer
ผู้พลิกเกมทั้งกระดาน
ขณะนี้ฉันเปลี่ยนเกมผู้ป่วยหลอดเลือดสมองให้ เป็นผู้ป่วยท้องเสีย !!!!
…..
พี่ชายฉันย้ำหนักหนาในการสนทนาเรื่องนี้ว่า เล่าอาการผิดปกติทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเราให้หมอฟัง อย่าเพิ่งไปตีกรอบตัดสินแทนหมอว่าเป็นอะไร โดยตัดบางเรื่องทิ้งไปเพราะคิดว่าไม่จำเป็น
หมอย้ำมาค่ะ ว่าหมอฟังได้ และยินดีฟังทั้งหมด เพื่อประโยชน์ในการรักษา ให้หมอช่วยประเมินเถอะค่ะว่าข้อมูลไหน จำเป็นหรือไม่จำเป็น
👨⚕️
แต่ฉันก็ได้แลกเปลี่ยนไปว่า บางเรื่องเราก็ไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องหรือผิดปกติพอที่จะเล่าจริงๆ พี่ฉันก็อมยิ้มให้กำลังใจว่า… แต่เรื่องที่หญิงเล่ามานั้น (ขณะที่เล่าให้พี่ฟังตอนนั้นไม่ละเอียดเท่าที่เขียนนี้นะคะ) มันมีประเด็นที่น่าซักถาม ต่อ (เหมือนสืบหาความจริงมุมอื่นๆ) หรือ สะกิดให้หมอตรวจหาในประเด็นอื่นๆ เพิ่มขึ้นนะ อย่างเช่นการพูดไม่ชัด หรือเห็นภาพซ้อนนี่ไง
…
ขอตัดภาพกลับมาที่ห้องตรวจอีกครั้ง เมื่อทำการแอทมิดแล้ว เวรเปลก็นำเตียงลำเลียงคนไข้มารับ จังหวะที่ต้องเปลี่ยนจากเตียงตรวจ เคลื่อนไปยังเตียงลำเลียง โดยปกติพยาบาลและเวรเปล จะสอดแผ่นไม้เข้ามาที่หลังเรา เหมือนให้เรานอนบนแผ่นไม้แทน แล้วทำการดึงแผ่นนั้นมายังเตียงลำเลียง ซึ่งขณะนั้นเตียงมีระดับต่างกันพอสมควร คุณพยาบาลสอบถามอย่างเกรงใจว่า เขยิบตัวมาที่เตียงลำเลียงไหวไหมคะ
“ไหวค่ะ”
😅
ฉันชันเข่าขึ้น เตรียมขยับตัวลงเตียงลำเลียง โดยมีพยาบาลและเวรเปลช่วยพยุง มีจังหวะที่ต้องดันตัวขึ้น แล้วเคลื่อนตัว ใจฉันนั้นคิดว่าตัวเองยกตัวพ้นแล้ว และกำลังน่าจะเคลื่อนร่างเข้าที่ แต่ในความจริงคือฉันยันตัวไม่ขึ้น และตัวหล่นลงมาจากเตียงตรวจไข้ที่สูงกว่า มาที่ เตียงลำเลียงที่ต่ำกว่า
“ตุ๊บ” “ว้าย”
😳
เสียงพยาบาลร้องตกใจ เกรงว่าฉันเป็นอะไรไป รีบร้อนกันเข้ามาดู และช่วยกันยกตัว(ช้าง) ฉัน เข้าที่
😱
ฉันถูกพามาถึงห้องพัก ในฐานะผู้ป่วยท้องเสีย ซึ่งฉันน่าจะอยู่ในสถานะ “สีเขียว” คือช่วยตนเองได้ เข้าห้องน้ำเองได้ ไม่ต้องดูแลพยุงเดิน คุณผู้ช่วยพยาบาลนำเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน โดยนำเสื้อผ้ามาไว้ที่ห้องน้ำให้ฉันเปลี่ยนเอง แต่ดูสภาพการเดินไปห้องน้ำของฉันแล้ว คุณผู้ช่วย จึงเอ่ยปากว่า
“ช่วยเปลี่ยนให้ไหมคะ คุณดุเพลียมากเลย ท้องเสียมากเหรอคะ”
พอฉันตอบไป
เสียงที่ส่งกลับมาคือ
“ถ่ายแค่นี้เอง ทำไมดูเพลียจัง คนถ่ายเป็นสิบครั้งยังไม่ขนาดนี้”
นี่ฉันควรรู้สึกอะไรกับประโยคนี้เนี่ย
🙄
ฉันถือโอกาสทำธุระอื่นในห้องน้ำไปด้วย เมื่อถึงขบวนการสุดท้าย ที่ต้องดึงกระดาษชำระ ที่อยู่ฝั่งซ้าย ฉันพบอาการด๋อยที่ 4ของวัน …..ฉันดึงทิชชูไม่ขาด!!!! …ดึงอยู่สองสามครั้ง จนคุณผู้ช่วยคนเดิม มาจัดการดึงทิชชูให้ ด้วยทีท่าอ่อนล้าละอาใจไม่แพ้กับฉัน คงคิดในใจ ว่าอีป้าอ้วนนี่ มันจะสำออยไปถึงไหน
ฉันได้รับการจิ้มน้ำเกลือต่อเนื่องตั้งแต่สายๆวันนั้น ฉันหลับๆ ตื่นๆด้วยความไม่สบายตัวมีการเกร็งบีบท้องเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ใช่ปวดแบบท้องเสีย
🤢
น้ำเกลือผ่านไปหนึ่งขวด สองขวด ความอ่อนล้าอ่อนเพลียก็ไม่ได้ดีขึ้นแบบที่คาดหวัง
🥴
คุณหมอทางเดินอาหารมาพบในช่วงบ่าย ด๋อยที่ 5 เกิดขึ้นในวินาทีแรกที่พบคุณหมอเลย ฉันยกมือขึ้นไหว้
แต่มือไม่สามารถยกขึ้นเสมอกันได้ หมอไม่ทันได้สังเกตุอะไรรับไหว้แล้วหันมาตรวจเคาะบีบท้อง ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร ขอรอดูผลตรวจเชื้อจากแล็บเสียก่อน แต่ก็ให้ยาฆ่าเชื้ออะไรสักอย่างที่มากับน้ำเกลือ
🙏
และดูทีว่าสภาพคงจะแย่มาก ได้ความจากพยาบาลว่า ดิฉันจะได้รับน้ำเกลือติดต่อกันถึง4 ถุง น่าจะสิ้นสุดเป็นอิสระต่อสายน้ำเกลือพรุ่งนี้ ที่คาดว่าจะออกจาก รพได้ เข็มน้ำเกลือเจาะเข้าที่หลังมือข้างซ้ายที่เป็นข้างที่ไม่ถนัด ได้ยินคุณพยาบาลบอกว่ายืดแขนออกมาตรงๆ ค่ะ ไม่ต้องเกร็ง ก็เอ๊ะแปลกตรงที่เราไม่รู้สึกเกร็งอะไร และเป็นคนไม่ได้กลัวเข็มหรือขบวนการเหล่านี้เลยนะ
🤦♀️
ฉันยังได้ยินคำว่า “ไม่ต้องเกร็งค่ะ อีกอย่างน้อย 2 ครั้งในวันนั้น คุณพยาบาลที่เข้ามาช่วยพาเข้าห้องน้ำ ถึงขั้นพูดว่า
“ดูเหมือนแขนข้างซ้ายจะเกร็งและอ่อนแรงกว่าด้านขวานะคะ”
นั่นเป็นครั้งแรกที่มีคนพูดถึงสภาพซ้ายขวาของฉัน
“แต่พี่ก็รู้สึกอ่อนแรงพอกันนะคะ” ..แหน่ะ ยังไปเถียงเขาอีก ทั้งๆ ที่ตัวเองรู้สึกทุกอย่างลอยไปหมดแล้ว บอกไม่ถูกว่า เป็นความรู้สึกว่าขาเบา จนหลุดออกจากควบคุม หรือหนักเกินไป จนยกไม่ขึ้นกันแน่ๆ เป็นความก่ำกึ่ง แต่ที่แน่ๆ คือ ควบคุมไม่ได้ดีดังเดิม เหมือนอวัยวะของเราอยู่ไกลมากสั่งการไปไม่ถึง
🤔
ฉันไม่ทราบได้ว่าขบวนการในการดูแลผู้ป่วยนั้น เมื่อคุณพยาบาลเห็นความผิดปกติดังกล่าวจะแจ้งใครหรือไม่ แต่เท่าที่รับการรักษา จนออกจาก รพ. นี้ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากการดูแลรักษาอาการอ่อนเพลียจากท้องเสีย
😅
หรือในความจริงแล้ว เมื่อคุณพยาบาลสอบทานกับผู้ป่วยแล้วว่า…. อ่อนแรงข้างซ้ายมากกว่าขวาไหมคะ แล้วฉันตอบจากความทรงจำอีกแล้วไปว่า….”ก็ไม่นิคะ น่าจะอ่อนแรงเท่ากัน” เกมก็จะจบที่นั่นตรงห้องน้ำนั้นเอง ไม่ไปถึงการบันทึกอาการคนไข้
✍️
นี่จึงเป็นเหตุให้ฉันตั้งชื่อตอนนี้ว่า Game changer ซึ่งก็คือตัวเรานั่นเองที่จะเป็นผู้พลิกเกม จากกระดานนึงไปสู่อีกกระดานอย่างเป็นคนละเรื่อง ในขณะที่ฉันไม่เข้าใจความแตกต่างในการอธิบายคำว่า “อ่อนแรง” กับ “อ่อนเพลีย” ฉันได้เปลี่ยนเกมของผู้ป่วย stroke เป็น ผู้ป่วยท้องเสีย
⬅️➡️
อีกทั้งการไม่รู้ว่า สิ่งที่ผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง อย่างถอดรองเท้าไม่ได้ ยกมือไหว้เสมอกันไม่ได้ ติดตะขอชุดชั้นในไม่สำเร็จ น้ำลายไหลจากมุมปาก ดึงทิชชูไม่ขาด ลิ้นแข็งพูดไม่ชัด ยืนใส่กางเกงแล้วเซล้ม ยันตัวหรือขยับตัวไม่ได้อย่างใจนึกนั้น เกิดจากสมองขาดเลือดแล้ว กล้ามเนื้อเริ่มอ่อนแรง และ สูญเสียประสาทสัมผัส และสมองลืม pattern การสั่งกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ให้เคลื่อนไหวแล้ว…นี่ถ้าใส่ใจสังเกตุสักนิดว่ามันล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในฝั่งเดียวกันของร่างกาย ฉันคงเปลี่ยนเกมนี้ให้มาหาหมอด้วยการบอกเล่าที่มีนัยยะสำคัญกว่านี้
การเขียนเล่าอาการอย่างยาวเหยียดและละเอียดยิบนี้ นอกจากจะเป็นการบันทึกแล้ว ยังหวังจะบอกเล่าให้ผู้อ่านสังเกตุรวบรวมเหตุการณ์ผิดปกติของตัวเอง เพื่อแจ้งกับบุคลากรทางแพทย์ได้อย่างครอบคลุม เล่าไปเถอะค่ะ หากเล่าไหว ให้หมอเป็นคนพิจารณา เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องออกเองนะคะ หวังว่าใครที่ตระหนักที่ใส่ใจตนเองจะได้เป็น game changer ที่พลิกเกมพ่าย เป็นเกมส์รอดอย่างทันเวลานะคะ
😏
ปิดท้ายตอนนี้ อย่างที่สำนึกรู้ว่า สมองเป็นอวัยวะพิเศษมาก ที่พยายามจะสู้เพื่อเอาตัวรอดตลอดเวลา ฉันเองพบเห็นเต็มๆ จาการที่คืนนั้นที่ รพ.แห่งที่หนึ่งนี้ ที่เครื่องจับค่าการไหลของน้ำเกลือที่ปักอยู่ทางด้านซ้ายของฉันร้องตลอดทั้งคืน แทบจะทุกครึ่งชั่วโมงก็ว่าได้ เนื่องจาก กล้ามเนื้อที่แขนซ้ายนี้กระตุกเกร็งบ่อยมาก จนน้ำเกลือนั่นไหลผิดปกติ จนเครื่องร้องกวนพยาบาลเวรดึกทั้งคืน
😳
นอกจากนี้ กล้ามเนื้อหน้าท้อง และน่องทางซ้ายก็พร้อมเพรียงกันกระตุกกันเป็นคลื่น คงเป็นการที่สมองพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสั่งงานกล้ามเนื้อที่กำลังอ่อนสัญญาณลง หรือในกลับกันคือ เลือดในสมองเริ่ม flow ขึ้น จากการที่ได้น้ำเกลือ มาถึง 2 ถุงแล้ว….!!!!
ในความด๋อยที่ฉันให้ข้อมูลอาการป่วยตัวเองผิดนั้น โชคยังช่วยเรื่องนึงก็คือ ผู้ป่วยหลอดเลือดสมองจำเป็นต้องเติมน้ำเข้าสู่ร่างกายอย่างมาก เพื่อช่วยให้ การไหลเวียนของเลือดไหลลื่นที่สุดเที่ทำได้ การได้น้ำเกลือจากการแจ้งเรื่องอ่อนเพลีย จึงเป็นการช่วยฉันให้รอดคืนนี้ไปบ้างไม่มากก็น้อย
🩸
อีกเรื่องที่ทำให้อัศจรรย์ร่างกายที่จะพยายามช่วยให้มีชีวิตรอดก็คือ ความดันโลหิต ที่ร่างกายจะเพิ่มความดันสูงขึ้น เพราะเมื่อพบว่ามีการตีบตัน จนเลือดไปเลี้ยงไม่ดีในบางส่วนของร่างกาย เพื่อให้เลือดสามารถไปถึงเป้าหมายให้ได้มากที่สุด แต่การที่หัวใจช่วยเพิ่มความดันนี้ อาจจะอันตรายมากกับผู้ป่วยหลอดเลือดที่อุดตัน หรือเส้นเลือดเปราะบาง เนื่องจากมีความเสี่ยงที่หลอดเลือดจะแตกได้เช่นกัน
📈
การพบสัญญาณความดันโลหิตสูงอย่างผิดปกติ จึงเป็นเรื่องมากกว่าการเห็นเลข 2ชุด ที่เปลี่ยนแปลง แต่มันกำลังฟ้องถึงความผิดปกติบางอย่างของร่างกายอยู่นะคะ มีที่วัดความดันกันไหมคะ คอยเช็คอย่างสม่ำเสมอนะคะ
🤔
สำหรับฉันมีตัวเลข 2ชุดนี้ ในวันที่เข้า รพ แห่งที่ 1 185/110 และตอนเข้า รพ แห่งที่ 2 202/103 ซึ่งเป็นตัวเลขความดันโลหิตที่สูงที่สุดในชีวิตกันเลยเชียว
จะมีเจ้ามือหวยคนไหน รับแทงเลขนี้ไหมคะ
สำหรับฉันไม่ต้องซื้อแล้วค่ะ … ฉันคิดว่า ฉันถูกหวย เข้าจังเบ้อเร่อแล้วค่ะ
……………………………………
จดหมายเปิดผนึก ถึงผู้ป่วย
- เมื่อมีอะไรผิดปกติ มันก็ไม่ปกติ
ไม่ว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้น มันจะเล็กน้อย ไม่สร้างความเจ็บปวด ไม่ได้เลือดตกยางออก ไม่ได้ทำให้หมดสติ แต่เมื่อมีอาการแปลกๆ ไม่ปกติอย่างที่เคยเป็น จดจำ จดบันทึก หรือบอกกล่าวคนข้างเคียง โดยจำรายละเอียดบริบทข้างเคียงไว้ด้วยก็จะดี เช่นทำอะไรอยู่ก่อนหน้านั้น หรือตอนนั้น
- บันทึกและสังเกตค่าวัดมาตรฐานต่างๆ
ถ้าอยู่ในข่ายเป็นผู้มีความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือหัวใจ การตรวจวัดค่าความดัน ค่าน้ำตาล หรือ การเต้นของหัวใจ ในช่วงที่ผิดปกติ รวมทั้งเว้นระยะทุกชั่วโมง จะเป็นข้อมูลที่ดีสำหรับคุณหมอในการพิจารณาด้วยนะคะ หากใครยังไม่มีอุปกรณ์ตรวจวัดพวกนี้ คุณอาจจะนำข้อมูลจากsmart watch มาเล่าประกอบก็ได้นะคะ (แต่ค่าความแม่นยำอาจไม่เท่าอุปกรณ์ทางการแพทย์) แต่อย่างน้อย น่าจะบอกค่าความเปลี่ยนแปลงเป็นช่วงเวลาได้
✍️
เล่าอาการอย่างละเอียดเท่าที่คุณจำได้ แสดงการจดบันทึกใดๆ ที่คุณมี อย่าได้เขินอาย หรือ ตัดสินไปก่อนแพทย์
หากคุณอ่อนแรงจนไม่สามารถเล่าได้แล้ว ชี้ตำแหน่ง พูดเป็นคำๆก็ได้ค่ะ พยายามโต้ตอบต่อการถามอาการของแพทย์ เพราะนั่นอยู่ในขั้นตอนวินิจฉัยเช่นกัน
…………………………………………………..
จดหมายเปิดผนึกถึงญาติมิตรผู้ป่วย
- คุณเองก็เป็น Game Changer เหมือนกัน
การสังเกตอาการผิดปกติของคนป่วยอย่างใส่ใจอาจเป็นตัวแปรที่เปลี่ยนเกมได้เช่นกัน เมื่อมีคำรำพึงมาว่า “รู้สึกแปลกๆ” ให้สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ละเอียด แต่ลดแรงกดดัน การถามไถ่ตลอดเวลาอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอยากปิดบังอาการก็ได้นะคะ ไม่มีใครในโลกนี้ อยากเป็นคนป่วยหรอกนะคะ
ครั้งหนึ่งพ่อของฉันเคยบ่นๆ ว่า “ทำไมนึกคำไม่ออก” ซึ่งเป็นการรำพึงเพราะรำคาญตัวเองกับคำศัพท์ง่ายๆ พื้นๆ อย่างถุงเท้า ก็พูดไม่ออก พ่ออาจจะนึกว่า แก่แล้วก็หลงลืมเป็นธรรมดา แต่ฉันก็เริ่มรู้สึกว่า มันถี่เกินไป และเป็นคำที่ง่ายเกินไป จึงค่อยๆ สังเกตอาการอยู่ใกล้ๆ จึงพบเหตุการณ์ตอกย้ำความผิดปกติว่า เขาเซ็นชื่อไม่เหมือนเดิมลดละตัวอักษรกลายเป็นเส้นยึกยือไปเกือบหมด จนพนักงานธนาคาร ต้องร้องขอให้เซ็นใหม่ และเมื่อเซ็นอีกครั้ง ฉันคิดว่านี่มันผิดปกติแล้ว…..พ่อเซ็นนามสกุลก่อน แล้วจึงย้อนกลับเป็นชื่อ !!!!
✍️
ฉันโทรเล่าเรื่องดังกล่าวกับพี่ชายที่เป็นหมอสมองในทันที และภายในครึ่งชั่วโมงพี่ชายก็มารับพ่อไปตรวจ MRI แล้วพบว่ามีเส้นเลือดอุดตันในสมองในส่วนภาษาและการสื่อสารจริงๆ
- ยิ่งเร็วยิ่งดี
อยากย้ำเตือนอีกครั้งกับช่วงเวลาทองคำ 72ชั่วโมง ที่คุณจะสามารถช่วยผู้ป่วยหลอดเลือดสมองได้ อย่ารอถึงวันเสาร์อาทิตย์ อย่ารอเวลารถไม่ติด ไม่ต้องรอกินข้าวให้เสร็จก่อน อย่ามัวแต่เลือกโรงพยาบาล …ยิ่งเร็ว ยิ่งดีที่สุดค่ะ
หากคุณเกรงจะรับมือไม่ไหว การติดต่อ รถฉุกเฉินต่างๆ เป็นอีกทางออกหนึ่งนะคะ มีเบอร์ด่วนในมือถือ หรือ ติดต่อสอบถามเบอร์ฉุกเฉิน รพ ใกล้บ้านที่สุด แม้จะเป็นรพ. เอกชนที่คุณไม่พร้อมจ่าย ศึกษาเรื่อง Universal Coverage for Emergency Patients (UCEP) สิทธิการรักษาตามนโยบายรัฐ เพื่อคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ไว้นะคะ รพ. เอกชนหลายแห่ง ก็ให้การรักษาฟรี ในกรณีผู้ป่วยวิกฤตใน 72 ชั่วโมงแรกค่ะ โทรสอบถามเป็นข้อมูลล่วงหน้าไว้เลยก็ได้
………………………
จดหมายเปิดผนึกถึงบุคลากรทางการแพทย์
- มันเล่าอาการยากจริงๆ นะคะ คุณหมอ
จากที่เขียนบันทึกยาวเหยียด เล่าอาการละเอียดยิบให้ทราบ แต่จะบอกว่าตอนเผชิญเหตุการณ์นั้น เล่าไม่ออกจริงๆ ค่ะคุณหมอ ด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ
- ไม่คิดว่ามันเป็นอาการผิดปกติ อย่างเช่น ถอดชุดชั้นในไม่ได้ มาทราบเมื่อทำกายภาพว่ากล้ามเนื้อมัดเล็กๆ ที่มือและเท้า ต้องใช้เซลส์สมองจำนวนมากสั่งการให้ขยับได้อย่างที่เป็นอัตโนมัติเท่าที่เราทำได้ในปัจจุบัน ดังนันการที่กล้ามเนื้อเล็กๆ ที่มือ นิ้ว ไม่สามารถประสานการขยับเขยื้อนให้ติดตะขอ โดยการไม่ใช้การมองเห็นด้วยตาช่วยได้นั้น จริงๆ แล้ว เป็นการบอกอย่างชัดเจนแล้วถึงอาการผิดปกติ …แต่จนปัญญา ที่ตอนนั้น จะบอกเล่าเรื่องนี้ออกไปอย่างที่ควร
ก็ได้แต่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เผื่อจะช่วยให้คนไข้ของคุณหมอรายถัดๆ ไปสามารถแจ้งอาการผิดปกติให้คุณหมอวินิจฉัยได้
2.แยกแยะ ในการใช้คำไม่ถูก เนื่องจากไม่เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน
ในกรณี ของฉันมันชัดมาก ที่ฉันไม่รู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ คืออาการอ่อนแรง ไม่ใช่ อ่อนเพลีย เมื่อแจ้งกับคุณหมอว่าอ่อนเพลีย พร้อม ทั้งมีอาการท้องเสียร่วม การสืบค้นมูลเหตุของอาการ จึงไปผิดเป้าจากสมอง ไปที่ท้องเลย
😅
ถึงตรงนี้ฉันอยากจะสรุปความรู้สึกของ 2คำที่นี้ โดยพยยามามใช้ความสามารถของการเป็น copywriter อย่างมากที่สุดเท่าที่ทำได้
อ่อนเพลีย จะ “รู้สึก” หมดแรง เคลื่อนไหวได้แต่ไม่อยากขยับ รู้สึกอยากพัก ถ้าให้ขยับร่างกายตามคำสั่งจะทำได้ แต่เหนื่อยล้า
🥴
อ่อนแรง ไม่มีแรงจริงๆด้วยสภาพ เคลื่อนไหวไม่ได้ดีเท่าที่คิดแม้จะรู้สึกว่าอยากขยับ เป็นความรู้สึกเหมือนอวัยวะอยู่ไกลกว่าที่เป็น (เป็นความก่ำกึ่งระหว่างเบาหรือหนักกว่าปกติ) คิดว่าขยับแล้ว แต่ไม่ขยับ (รู้สึกว่าไม่ใช่อวัยวะของตนเอง) การอ่อนแรงที่มือจะสังเกตง่ายคือหยิบจับไม่ได้ดีเท่าเดิม บางคนถือช้อนกินข้าวแล้วตก หรือกำแก้วน้ำไม่แน่นเท่าเดิม เปิดฝาขวดไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่อาการที่พัฒนาจากน้อยไปมากนะคะ คือ อยู่ๆ ก็ไม่ได้เลย ดังนั้นอย่าเหมารวมกับการเปิดฝาขวดซอส จุกไวน์ที่เปิดเองไม่ได้มานานแล้วนะคะ
🤢
ดังนั้นจะเป็นความกรุณามากหากคุณหมอสังเกตอาการบางอย่างที่ผิดปกติมากกว่าปากคำของคนไข้ แล้วจะถามเลียบเคียงอื่นๆ เพื่อให้คนไข้ได้อธิบายความคิดความรู้สึกได้มากขึ้นนะคะ กราบขอบพระคุณล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้
- สังเกตอาการคนไข้ และประสานข้อมูลเพื่อการรักษากันเพื่อประโยชน์สูงสุด
จากบทบันทึกของฉันผู้อ่านจะพบว่า คุณพยาบาลใน รพ แห่งหนึ่งนี้ มีความสามารถมาก ถึงกับพบว่าผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรงฝั่งซ้าย ทั้งๆ ที่ผู้ป่วยยังไม่ตระหนักเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความด๋อยของฉันเองหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ที่ดันไปยืนยันกับเขาว่า “ไม่นิคะ อ่อนแรงเท่ากัน” …ข้อมูลนี้จึงไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการดูแล หรือ รักษาผู้ป่วยท้องเสียให้มีการทดสอบเรื่องอ่อนแรงของผุ้ป่วยหลอดเลือดเลย
😱
อย่างที่เรียนแต่ต้นว่า ฉันไม่มีเจตนาตำหนิการดูแลรักษาของบุคลากรท่านใดในสถานพยาบาลใดเลย หากแต่ขอเรียนจากใจจริงว่า คงมีผู้ป่วยหลายคนเป็นเหมือนฉัน ที่เคยเป็นโรคนี้ครั้งแรก (และขอให้เป็นครั้งเดียว) มีความรู้จักและเข้าใจมันน้อยมาก ไม่รู้จักอาการและผลกระทบ หากแต่บุคลากรทางการแพทย์หลายท่าน แม้จะไม่เคยประสบโรคต่างๆ นี้เอง แต่ก็ได้เห็นคนไข้ผ่านตามาหลายครา อย่างตัวอย่างเคสของฉันที่คุณพยาบาล หรือผู้ช่วยพยาบาลสังเกตุว่าฉันอ่อนเพลียมากกว่าคนท้องเสียปกติ หรือ มีอาการอ่อนแรงทางฝั่งซ้าย หากความสามารถนี้ของคุณพยาบาลได้ส่งต่อถึงคุณหมอ …ดิฉันแอบมีความหวังลึกๆ ว่าคุณ พยาบาลจะได้เป็น GAME CHANGER ในเรื่องนี้นะคะ
แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังขอขอบคุณในทุกความใส่ใจดูแลกันตลอด 2 วัน 1 คืนที่นั่นนะคะ
ใส่ความเห็น