เดือนเมษายนแล้วสินะ
นี่เป็นเดือนครบรอบปีของอุบัติเหตุชีวิตที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง
ที่ทำให้เรายอมเรียกตัวเองว่าเป็น “บุคคลทุพพลภาพ” อยู่ชั่วระยะหนึ่ง
แต่ตอนนี้ฉันจะไม่ใช่คำนี้เป็นข้ออ้างใดใดแล้ว
เพราะเชื่อว่าจะทำทุกอย่างได้อย่างที่ต้องการ… แม้ไม่ได้ดังใจ 100%ก็ตาม
*
วันนี้ตั้งใจเขียนเรื่องถึงการพัฒนาของ “มือ”
ที่เราคิดว่าน่าจะเป็นครั้งใหญ่และชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่ง
หลังช่วงเวลาทองคำ (Golden Period)
อันเป็นช่วงเวลาที่สมองมีพัฒนาเร็วที่สุด
จะอยู่ในช่วงประมาณ 6 เดือนแรกหลังจากเป็น Stroke
ทำให้การฟื้นฟูจะร่างกายจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
แต่เมื่อพ้นช่วงเวลาดังกล่าว การพัฒนาการจะชะลอตัวลง
*
เรื่องมีอยู่ว่า “ขาและการพัฒนาการเดิน” ของเรา
ถือว่าใกล้เคียงคนปกติมากแล้ว
สิ่งที่ยังบกพร่องอยู่เป็นเพียงเรื่องประสาทสัมผัส
และระบบสั่งการอัตโนมัติที่ฉันอาจด๋อยจากปกติไปบ้าง
แต่ถ้าคนอื่นไม่สังเกตุก็อาจจะไม่ทราบ
เพราะเราผ่านการฝึกฝนมาอย่างตั้งใจในระยะเวลาประมาณนึงแล้ว
โดยหลักแล้วจะใช้ skill อื่นๆ เข้าไปทดแทน
เช่น ใช้ตาในการมองดูและเห็นว่าทำท่าต่างได้ถูกต้องและมีสมดุลหรือไม่
หรือการใช้สติจับกับกล้ามเนื้อส่วนที่บกพร่องน้อยกว่า
เช่นข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า ในการยึดมั่นโครงร่างสำหรับการทรงตัวใหมั่นคง
โดยทำซ้ำท่าทางที่ถูกต้องหรือตั้งใจคุยกับสมองตัวเองกับปฏิกริยาตอบสนองต่างๆ
โดยทำจนกว่าที่เซลสมองส่วนที่จะเรียนรู้ใหม่
ทำงานทดแทนจะทำได้เองอย่างอัตโนมัติ
ตอนนี้ฉันจึงขึ้นบันไดที่ไม่มีราวจับได้แล้ว
ลดความกลัวบันไดเลื่อนไปมาก
สามารถเดินและคุยไปด้วยโดยแขนขาไม่หยุดการทำงานอัตโนมัติแล้ว
*
ดังนั้นส่วนที่คิดว่าจะ up level ต่อไปก็คือ…”แขนและมือ”
*
ตามหลักการฟื้นฟูร่างกาย นักกายภาพมักจะคำนึง 3เรื่อง
แรงและกำลังเพื่อหยิบจับดึงรั้งสิ่งต่างๆได้ตามต้องการ
ความคล่องแคล่วเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เพื่อความปลอดภัย และหลบหลีกอันตรายหรือช่วยเหลือตัวเองได้ทันเวลา
แล้วจึงจะค่อยเป็นความแม่นยำที่จะเข้าใกล้คนปกติ
เพื่อทำกิจใดใดได้ตามคิด และสร้างสรรค์งานได้มากขึ้น
*
*
จากจุดเริ่มต้นในวันแรกที่ รพ. ปีที่แล้ว
ที่ฉันไม่สามารถแม้แต่จะเอานิ้วชี้ มาแตะนิ้วโป้งในท่า OKได้เลย
ฉันต้องหึดสู้กับการฝึกสารพัดวิธี ยกถุงทราย/ดัมเบล บีบดินน้ำมัน
เล่นหยิบบล๊อคของเล่นเด็กทารก
ฝึกเปิดขวดน้ำด้วยมือซ้าย
หัดพิมพ์สัมผัสใหม่
ฝึกตีปิงปองสองมือ
จนถึงเดือนมีค.ปีนี้ ฉันส่งคำท้าใหม่ให้ตัวเองในเรื่อง “ความแม่นยำ”
*
แม้จะเคยลองฝึกร้อยลูกปัดดูแล้วในช่วงสามเดือนแรก
แต่ตอนนั้นพบว่า ยากมาก เหนื่อยมาก
ยิ่งหยิบของชิ้นเล็กเท่าไหร่ มันยิ่งต้องการการประสานงานของ
สมองและกล้ามเนื้อมัดเล็กๆ ที่มือหลายสิบมัด
อย่างแม่นยำและแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น…
ใครจะไปคิดว่า การหยิบจับเข็มด้าย ลูกปัด ต้องใช้กำลังกายใจขนาดนี้
…ฉันหมดพลังไปหลังร้อยสร้อยไปเพียงสามเส้นแต่ใช้เวลานับอาทิตย์อย่างอ่อนล้า
และยกธงขาวพักรบชั่วคราว
*
แต่เดือนมีค.นี้ ฉันพร้อมเฉลิมฉลองการผ่านศึกมาหนึ่งขวบปี
ด้วยการหยิบเข็ม ร้อยด้ายอีกครั้ง พร้อมการท้าทายความแม่นยำในระดับมิลลิเมตร
ในวิถีที่ฉันไม่เคยทำ และอาจไม่กล้าคิดจะทำมาก่อนแม้ในภาวะปกติ
แต่อาจหาญในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการสร้างแรงกระตุ้น
ในการฝึกทักษะของนิ้วและมือขึ้นลงนับพันครั้งอย่างมีเป้าหมาย
*
ฉันไปลงเรียนการปักดิ้นทองแบบไทย
ที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก(วิทยาลัยในวัง)
งานปักที่สอนครั้งนี้เป็นไปตามวิถีทางของอาจารย์เยื้อน ภาณุทัต
บรมครูงานปราณีตศิลป์ที่ถวายงานรับใช้เจ้านายตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ถึง ๙
หรือที่พวกเราหลายคนจะรู้จักกันจากงานปักชุดหุ่นกระบอก
ของอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต
ซึ่งท่านนับถือครูเยื้อนเป็นอาจารย์ทางงานปราณีตศิลป์ของท่านเลย
*
นี่เป็นช่วงเวลา 10วัน ที่เดินทางไกลทีละมิลลิเมตร
-ใช้ด้ายตรึงดิ้นข้อทองขนาดกว้างครึ่งมิลให้เป็นเส้นขอบ
-ตัดดิ้นมันยาวแค่ 7มิล เพื่อมาปักเส้นเกลียวเล็กๆ
ที่มีระยะขึ้นหน้าถอยหลังไม่เกิน 2 มิล
-นำเชือกฝ้ายสีขาวมาตรึงระหว่างลาย ก่อนถม
เพื่อเป็นการหนุนดิ้นทองให้มีความนูนเด่น
โดยระยะห่างของการตรึงเชือกนั้น ไม่ควรเกิน 3 มิล
-ก่อนจะร้อยดิ้นโปร่งขนาดไม่เกิน 2มิล
เพื่อปักเต็มช่องเป็นเหมือนเป็นการถมลาย
*
.… และทั้งหมดนี้ ไม่แนะนำให้พลาด แม้แต่มิลเดียว
*
ด้วยงานปักไทยนั้น มีขนบ ขั้นตอน แบบแผนที่ชัดเจน
และสืบต่อเนื่องกันมายาวนาน
(แปลว่าผ่านการคิดค้นฝึกฝน และแก้ปัญหามาสารพัดวิธี
ก่อนจะสร้างเป็นแบบแผนให้เราเรียน)
และด้วยขั้นตอนงานที่มีหลายขั้น หากเราทำผิดและยอมผ่านไป
ย่อมกระทบถึงบริบทของงานขั้นต่อๆไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นในช่วงสิบชั่วโมงแรก
เราจะได้ยินเสียงหวานๆ เย็นๆ ของครูติ๊กลอยมาจากมุมนู้น มุมนี้ของห้องเรียน
…”ตรงนี้ผิดค่ะ เลาะค่ะ” “เลาะเถอะนะคะ”
“ครูขออนุญาตนะคะ …(พลิกสะดึงคว่ำ แล้วใช้กรรไกรตัดด้ายฉับๆ)”
จนครูติ๊กของพวกเราได้สมญานามว่า ครูติ๊กขาเลาะ
*
เสียงที่ประสานกับเสียงกรรไกรตัดด้ายเลาะงาน
ที่ทำมานับชั่วโมงให้หลุดล่วงไป
ก็น่าจะเป็นเสียงถอนหายใจ และพึมพำถึงความยาก
ความเหนื่อยและล้าของงานระดับมิลิเมตรนี้
มาจากทุกมุมห้องเฉกเช่นกัน
*
ฉันเองก็ไม่ได้พ้นจากวงการขาเลาะนี้หรอกค่ะ
มีทั้งงครูสั่งให้เลาะ และเลาะทิ้งเองนับไม่ถ้วน
ผิดแต่ว่าฉันยังคงนั่งปักไปอย่างเงียบๆ
เพราะแค่ที่ฉันปักเข็มได้ตรงเป้าหมายแต่ละครั้งก็ดีใจมากมายแล้ว
การเป็นผู้ป่วยผู้รับการฟื้นฟูร่างกายแบบนับหนึ่งใหม่
ทำให้ฉันมีเกราะป้องกันความล้มเหลวมาระดับนึง
เมื่อยกขาขึ้นแล้วเซล้ม มีทางเลือกแค่
จะนั่งพักตั้งสติใหม่ หรือกัดฟันลุกขึ้นเดินใหม่
…แค่นั้นเอง!!!
การบ่นไม่ได้ทำให้หายเหนื่อยและก็ไม่ได้ทำให้เดินต่อได้
ฉันจึงมักนิ่งเก็บพลัง หายใจลึก แล้วเดินต่อไป
*
ส่วนในความเหนื่อยล้าอาจจะมีกว่าคนปกติหลายเท่า
จำได้ว่าวันแรกที่อยู่ในช่วงที่มือซ้ายและขวาต้องทำงานปักร่วมกัน
ความแข็งแรงและแม่นยำที่ไม่เสมอกันทั้งสองมือ
ทำให้เกร็งจนมือชา
ต่อเมื่อค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ปรับตัว
ก็จะเริ่มจับจังหวะการทำงานของสองมือร่วมกันได้
จึงค่อยดีขึ้น
*
ถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่า
ในการปักผ้า น่าจะใช้แต่มือขวาเป็นหลัก
ทำไมถึงถือเป็นการฝึกมือซ้ายด้วย
จะเรียนตามตรงว่า ถ้าไม่ได้กลายมาเป็นผู้ป่วยก็จะไม่ทราบเรื่องนี้เหมือนกัน
ว่าในกิจกรรมปกติของเรานั้น
มือซ้ายที่ทำหน้าที่สนับสนุน หรือเติมเต็มความสมบูรณ์อย่างเงียบๆ
แต่ก็ต้องปฏิบัติภารกิจหนักและใช้เวลา
เท่าๆกับมือขวาเช่นกัน
*
ยกตัวอย่างที่น่าสนเท่ห์มากจาก “การเดิน”
ที่ไม่น่าจะเกี่ยวแขนและมือซ้ายเลย
คือในเวลาเราเดินปกติที่แขนแกว่งไปมาสลับซ้ายขวาระหว่างแขนกับขานั้น
เป็นการปรับสมดุลร่างกายและรักษาระเบียบกระดูกทั่วร่าง
ช่วงไม่สบายแรกๆ แขนฉันจะเกร็งพับเข้าหาตัว
ไม่สามารถปล่อยลงมาตามสบายได้
หรือแม้จะเอาลงมาได้ แขนก็ไม่สามารถแกว่งเองได้อัตโนมัติ
ไม่ก็แขนแกว่งไปพร้อมกับขาข้างเดียวกันเหมือนหุ่นยนต์
เนื่องจากสมองยังแยกการสั่งการไม่ได้
การเดินในห้วงเวลานั้นนอกจากจะยากเย็นแล้ว
เรายังปวดเนื้อตัวด้วย เพราะร่างกายบิดไปมา
โดยไม่มีมือและแขนซ้ายคอยปรับสมดุลร่างกาย
…ใครอยากรู้ว่าปวดเมื่อยอย่างไร ลองเดินโดยไม่แกว่งดูสักระยะนึงสิคะ
*
ช่วงแรกๆ ของการฟื้นฟู
ฉันจึงต้องใช้สติอย่างมากในการสั่งการเคลื่อนไหวร่างกาย
ทั้งแขนและขา ทั้งฝั่งซ้ายและขวา ทั้งการทำงานแบบพร้อมกันและสลับกัน
เพื่อให้ได้ท่าทางที่ถูกต้อง
เป็นการฝึกให้เซลสมองส่วนใหม่ที่จะมาทำงานแทนเซลสมองที่เสียหายไป
ให้จดจำวิธีการเคลื่อนไหวที่ประสานกันระหว่างแขนขา และซ้ายขวา…
นี่เองที่ทำให้ตอนนั้นฉันไม่สามารถเดินไปและพูดคุยกับใครได้
เนื่องจากต้องใช้สติสมาธิในการจดจ่อกับแขนและขาในทุกย่างก้าว
เป็นเวลาไม่น้อยกว่าครึ่งปี
*
และฉันยังพบว่า การฝึกให้เกิดการประสานกันระหว่างซ้ายขวา
เป็นการฝึกที่ยากและใช้เวลามากกว่า
การฝึกด้านพละกำลัง หรือการฝึกความคล่องแคล่วอยู่มาก
*
กลับมาที่โต๊ะปักกันอีกครั้งแล้วนึกภาพตามนะคะ…
เมื่อเราปักเข็มด้วยมือขวาครั้งหนึ่ง มือซ้ายก็ต้องทำงานจับสะดึงให้มั่นในจังหวะเดียวกัน
นั่นทำให้การขึงดึงด้ายแต่ละครั้งสวยงามขึ้น
ซึ่งยากที่มือขวาจะทำได้เองเดี่ยวๆ
และเมื่อถึงจังหวะที่เราต้องจะปักด้ายกลับขึ้นมาอยู่บนสะดึง
มือขวาจะลงไปนำวิถีด้านล่างแทน
ส่วนมือซ้ายจะกลับขึ้นมาอยู่บนสะดึง
เพื่อส่งสัญญาณให้มือขวาทราบว่าควรปักไปที่จุดใด
(อย่าลืมว่านี่คือการเดินทางที่ต้องแม่นยำระดับมิลลิเมตร)
ในช่วงวันแรกๆของการเรียน ฉันจะมีความป้ำเป๋ออยุ่หลายอย่าง
เช่น ขึงสะดึงไม่ตึง เนื่องจากประสาทสัมผัสมือซ้ายบอกเราไม่ถ้วนว่านี่คือตึงหรือยัง
การใช้ตาดูอย่างเดียวว่าตึงนั้น มันยังไม่ตึงจริง
หรือการที่เราปักเข็มขึ้นจากด้านล่างผิดตำแหน่ง(เสมอ)
เนื่องจากมือซ้ายคงบอกตำแหน่งไปให้มือขวาไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
*
ในส่วนนี้ฉันได้ตกตะกอนความคิดอื่นกลับมาจากการปักผ้าคือ…
มือซ้ายคือส่วนสำคัญของความสำเร็จที่งดงาม
จริงๆ ใครก็ตามที่ถูกนิยามเป็นมือซ้ายควรพึงใจและภูมิใจอยู่เสมอ
ว่าเราไม่ใช่ “ตัวด้อย” แม้จะไม่ใช่ “ตัวเด่น”
แต่ภาพที่สวยงามข้างหน้านี้ งดงามไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ
*
ในขณะเดียวกัน ฉันก็ตระหนักถึงคำว่า
“หลุมพรางแห่งความสำเร็จ”
เพราะในความด้อยสมรถภาพทางแขนและมือ
…แต่ความทรงจำฉันยังแจ่มชัด
มีหลายครั้งที่ฉันขยับมือไปตามแรงความทรงจำในการปักผ้ามาก่อนว่า
ต้องทำแบบนั้น แบบนี้ แต่ก็พบว่ามันอาจสร้างปัญหา และไม่ดีเท่าที่คิด
เพราะขณะนี้ฉันนั่งอยู่บนบริบทใหม่แล้ว
มือซ้ายของฉันเหมือนเพิ่งเกิดใหม่ไม่นานมานี้
การประสานงานขวาซ้าย ต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่
ไม่สามารถเอารูปแบบเดิมๆมาเป็นกรอบการทำงาน
*
โดยตัวอย่างของกรณีนี้ที่เป็นรูปธรรมหน่อยก็อาจจะเป็น
“การพิมพ์ดีด”
ที่เมื่อมือซ้ายทำงานช้าและแม่นยำน้อยลง ในขณะที่มือขวายังเหมือนเดิม
…ฉันไม่ได้เลือกวิธีที่ใช้มือขวามือเดียวทำงานนี้
เพื่อคงสถานะความสำเร็จคล้ายเดิม
*
และเมื่อตัดสินใจที่จะใช้สองมือแล้วนั้น
สิ่งที่น่าขันพอพอกับน่าเศร้าก็คือ
ในการพิมพ์นั้นเราไม่สามารถทำโดยมือขวาอย่างรวดเร็ว
แต่มือซ้ายยังเชื่องช้าอย่างคละสปีดได้เลย
เพราะมันยิ่งส่งความยุ่งยากมากขึ้นในการทำงานสะกดคำและอื่นๆ อย่างน่าปวดหัว
…ทั้งสองมือจึงจำเป็นต้องทำงานประสานกันใหม่
เรียนรู้ที่จะรู้จักและแบ่งงานกันทำใหม่อีกครั้ง
ฉันเริ่มจากยอมพิมพ์ช้าๆ
แต่เน้นให้ถูกตำแหน่งและมีน้ำหนักพอที่จะกดแป้นให้ actionได้
แน่นอนค่ะมันยากจนเหงื่อแตก และพิมพ์ผิดระนาว
เสียเวลาในการแก้ไขใหม่จนเป็นเรื่องชินชา
…จนถึงปัจจุบันนี้ สามารถกลับมาพิมพ์งานได้ในระดับทำงานได้
ซึ่งโดยภาพรวมแล้วก็ถือว่ายังช้า และผิดพลาดมากกว่าสมัยก่อนมาก
แต่สำหรับฉันถือเป็นความภูมิใจ ที่เห็นมือทั้งคู่และสมองนิ่มๆของฉัน
ค่อยๆมีพัฒนาการดีขึ้น
ความเร็วของการพิมพ์ตอนนี้เท่ากับความเร็วของมือซ้าย
(มือขวายอมลดสปีดตัวเองลงมาให้เสมอกัน)
แต่ถ้าฉันตั้งใจทำซ้ำๆ ย้ำๆในวิธีที่ถูกต้อง
เขาทั้งสอง…ทั้งมือซ้ายและมือขวา…
จะฉลองความสำเร็จนี้ร่วมกันค่ะ
*
ฉันเดินทางไกลบนผ้าไหมสีม่วงทีละมิลลิเมตร
จนถึงหลักชัยที่ปักเสร็จทั้งผืนจนได้
แม้จะไม่ได้งดงามเรียบร้อยเท่าต้นแบบ
และมีความผิดพลาดที่ขออนุญาตครูในการละเลยการแก้ไขบ้าง
เพื่อจะได้เป็นจุดเตือนใจว่า
..ความผิดพลาด ณ จุดเล็กๆ ที่เราละเลยไม่แก้ไข
ปัญหามันมักซัดทอดกันจนมีความซับซ้อนขึ้น และยากจะแก้ไข
….ท้ายที่สุด เราเองนั้นแหล่ะ
ที่จะเป็นผู้ที่อยู่กับความละเลยนั้นไปตลอด
*
เมื่อเอาผ้าปักที่สำเร็จแล้ว เอาไปไว้ข้างรูปแม่เพื่อเป็นอวดผลงาน
นึกในใจบอกม่าม้าว่านี้เป็นผลงานที่ภูมิใจในมือตัวเองเหลือเกิน
ม้าไม่ต้องห่วงหญิงแล้วนะ
แต่หญิงอาจจะไม่ปักผ้าแบบนี้อีกแล้วนะคะ เพราะมันยากเหลือเกิน
พอนึกได้อย่างนี้ ก็พลันหูแว่วได้ยินเสียงครูติ๊กขึ้นมา
“นักเรียนจะไปทำงานปักกันต่อหรือไม่นั้นไม่เป็นไร
ครูขอว่าอย่างน้อยหลังจากนี้พวกคุณจะดูงานปักดิ้นเลื่อมไทยกันเป็น
และเข้าใจถึงที่มาของความงดงามนั้น”
*
BIG STEP ที่ได้จากงานปักคราวนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องความรู้ใหม่
หรือ การพัฒนาและฟื้นฟูร่างกาย
แต่กลับรู้สึกถึงการอนุรักษ์งานศิลปะไทยด้วยว่า
“ผู้สืบสาน” ไม่ใช่เพียง”ผู้ที่ทำได้หรือ ทำต่อ” เท่านั้น
หากแต่หมายรวมถึง “ผู้ที่ดูเป็น”
และ “ผู้ที่คิดต่อและสร้างสรรค์” อย่างเข้าใจและเคารพในรากเหง้าด้วย
*
การก้าวย่างอย่างเชื่องช้าระดับมิลลิเมตรนั้น
ไม่ได้เป็นความผิดแปลกในโลกที่หมุนไวระดับ GHz
หากเราก้าวเดินอย่างเข้าใจบริบท
…ยอมรับ ปรับตัว และพัฒนาในจุดอ่อนของเรา
พร้อมกับมั่นใจในจุดแข็งไปพร้อมๆกัน
*
สัญญาค่ะว่าจะยังเดินต่ออย่างมั่นคง
ใส่ความเห็น